ดัชนีหุ้นไทย วันที่ 17 ก.พ.65 ปิดที่ 1,711.58 จุด บวก 10.13 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 101,538.45 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 6,315.02 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด KBANK ปิด 170.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, SCC ปิด 399 บาท บวก 11 บาท, BBL ปิด 145 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, CPALL ปิด 65.25 บาท บวก 0.75 บาท, ADVANC ปิด 240 บาท บวก 3 บาท
หุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อ ได้แรงหนุนจาก Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่องในหุ้น Big cap ที่มีงบดี มีปันผล และหุ้นที่มีปัจจัยบวก เฉพาะตัว แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่จะเพิ่มสูงขึ้น และสถานการณ์ระหว่างยูเครน-รัสเซียยังมีความไม่แน่นอนสูง
บล.เอเซียพลัส เสนอ Idea การลงทุน ระบุว่า ประเมินปัจจัยที่มีน้ำหนักกดดันและสร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้นโลกก่อนหน้า คือ ความตึงเครียดยูเครน-รัสเซีย แต่เริ่มเห็นสัญญาณคลี่คลาย หลังมีสัญญาณถอยกำลังทหารบางส่วนจากฝั่งรัสเซีย และความกังวล Fed เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นในช่วงวันหยุดที่ผ่านมาเริ่มคลี่คลาย
ดังนั้นเอเซียพลัส จึงประเมินคาดการกลับทิศทางตรงข้ามของสินทรัพย์ต่างๆ คือ เงินไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ ทองคำ, พันธบัตรรัฐบาล ฯลฯ เข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง อาทิ ตลาดหุ้น ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ที่เคยปรับขึ้นมาก่อนหน้าหลักๆ อาทิ น้ำมันดิบ,
แก๊สธรรมชาติ, ถ่านหิน หากสถานการณ์คลี่คลายต่อเนื่องประเมิน Upside ในการปรับขึ้นของราคาประเมินน่าจะจำกัด หรืออาจจะผ่านจุด Peak หรือเริ่มปรับลง
ทั้งนี้ จะเป็น Sentiment ลบต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน กลุ่มน้ำมัน PTT, PTTEP กลุ่มโรงกลั่น TOP, IRPC ฯลฯ ในทางตรงข้ามกลุ่มที่จะได้ประโยชน์หรือ Sentiment บวก คือ กลุ่มโรงไฟฟ้า ที่ราคาหุ้นก่อนหน้าหลายบริษัทถูกกดดันจากราคาโภคภัณฑ์ที่ปรับขึ้น ทั้งน้ำมันดิบ, แก๊สธรรมชาติ, ถ่านหิน ทั้ง BGRIM และ GPSC รวมทั้ง BPP คำแนะนำทางพื้นฐานสำหรับลงทุนระยะกลางถึงยาว ยังแนะนำซื้อ BGRIM, GPSC
กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ CBG, OSP ราคาหุ้นก่อนหน้า ถูกกดดันจากราคาอะลูมิเนียมปรับขึ้นราว 11% ytd โดยเฉพาะ CBG ต้นทุนจากกระป๋องสัดส่วน 35-40% ของยอดขาย คาดจะได้ Sentiment
แหล่งข่าว กลุ่มหุ้นได้ประโยชน์, bangkokbiznews, 18 ก.พ. 2565