นางสาวอรมงคล ตันติธนาธร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยคาดการณ์หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า 16 บริษัทที่วิเคราะห์อยู่จะรายงานกำไรไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ 1.49 หมื่นล้านบาท ลดลง 5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 15% เทียบไตรมาสที่แล้ว
โดยการปรับลดลงเทียบกับปีก่อนเป็นผลจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของ BGRIM และหนี้สินในสกุลเงินต่างประเทศของ EGCO จากการที่เงินบาทอ่อนค่าลง ขณะที่การเติบโตเทียบไตรมาสแรกเป็นผลมาจากคาดการณ์การขาดทุนจากค่าเงินที่น้อยลงของ BGRIM EGCO และ GULF ในส่วนหนี้สินที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศของแต่ละบริษัท
ขณะที่แนวโน้มกำไรไตรมาส 3 ปี 2564 คาดว่าจะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเมื่อเทียบไตรมาสก่อน จากส่วนต่างพลังงานที่หดตัวลงของ BGRIM GPSC และ GULF และการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าหงสาของ BPP และ RATCH อีกทั้งคาดว่าส่วนต่างราคาพลังงานจะหดตัวลงจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ดี ในส่วนของประมาณการกำไรปี 2564 ถูกปรับลดลง 7% มาอยู่ที่ 6.1 หมื่นล้านบาท เพื่อให้สะท้อนถึงการไม่มีกำไรก้อนใหญ่จากเงินบาทที่อ่อนค่าลง และต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งกดดันอัตรากำไรของกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น SPP รวมถึงกดดัน BGRIM GPSC และ GULF
สำหรับคำแนะนำลงทุน บล.กสิกรไทย คงมุมมองเป็น "กลาง" ต่อกลุ่มโดยรวม โดยเลือก GULF เป็นหุ้นเด่นสำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าหลัก เพราะสามารถส่งต่อภาระราคาพลังงานที่สูงขึ้นไปยังการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทั้งนี้ GULF มีโครงการจำนวนมากที่มีกำหนดการเริ่มเดินเครื่องในปี 2564 ซึ่งจะช่วยหนุนกำไรของบริษัท ราคาเหมาะสม 42.25 บาทต่อหุ้น
ขณะเดียวกันฝ่ายวิจัยเลือก BCPG เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน เพราะมีราคาหุ้นที่ตามหลังกลุ่ม (แลกการ์ด) และเป็นหนึ่งในผู้ที่จะได้ประโยชน์จากกระแสน้ำไหลเข้าที่สูง ราคาเหมาะสม 17.30 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ ปรับลดคำแนะนำของ ACE CKP และ GUNKUL ลงเป็น "ถือ" จากโอกาสปรับขึ้น (อัพไซด์) ที่จำกัดต่อราคาเหมาะสมที่ให้ไว้ ในทางกลับกัน บล.กสิกรไทย ปรับเพิ่มคำแนะนำ BPP BGRIM และ TPCH ขึ้นเป็น "ซื้อ" จากกำลังการผลิตที่คาดจะเข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
แหล่งข่าว 'กสิกรไทย' ส่อง 16 หุ้นโรงไฟฟ้า ไตรมาส 2/64 คว้ากำไร 1.49 หมื่นล้าน, bangkokbiznews, 1 ส.ค. 2564