นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า วานนี้ (20 ธ.ค.) บริษัท Fitch Ratings (Fitch หรือฟิทช์) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) และคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 65 จะขยายตัว 4.5 % เพราะมีมาตรการสนับสนุนด้านการเงินการคลัง ประกอบกับการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว นอกจากนี้ การเพิ่มเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จาก 60% เป็น 70% จะช่วยเพิ่มพื้นที่ทางการคลังเพื่อการลงทุนและการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ขณะเดียวกัน ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) มีความเข้มแข็ง เป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบ และเป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 เพื่อรักษาวินัยทางการคลัง
แม้ว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นจากการกู้เงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินมาตรการทางการคลังเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
“ฟิทช์ยังเชื่อมั่นว่า รัฐบาลไทยสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดี โดยหนี้สาธารณะ ณ เดือน ต.ค.64 มีอายุเฉลี่ยค่อนข้างยาว คือ 9 ปี และมีสัดส่วนหนี้สาธารณะสกุลเงินบาทมากกว่า 98% ซึ่งอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน ที่มีค่ากลางของหนี้สกุลท้องถิ่นอยู่ที่ 66% พร้อมทั้งคาดว่า ปี 65 ไทยยังคงจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบรรเทาผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 และคาดว่าสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อจีดีพีปี 65 จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 55.3%”
ขณะที่ภาคการเงินต่างประเทศยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงที่เพียงพอสำหรับใช้จ่ายถึง 9.3 เดือน และคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยจะกลับมาเกินดุลที่ 0.8% ต่อจีดีพีในปี 65 และ 3.5% ในปี 66 แต่ประเด็นที่ฟิทช์ให้ความสนใจและจะติดตามอย่างใกล้ชิด คือ สัดส่วนหนี้ภาคครัวเรือนต่อจีดีพี และความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจมีผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาครัฐและการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะปานกลาง.
แหล่งข่าวความน่าเชื่อถือไทย “BBB+” และคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 65 จะขยายตัว 4.5%, ไทยรัฐ, 21 ธ.ค. 2564