Menu
Forums
New posts
Search forums
What's new
New posts
Blog
Latest activity
Members
Current visitors
เกี่ยวกับเรา
Groups
Search groups
Upcoming events
ภาษา (🇺🇸 🇹🇭)
Log in
Register
What's new
Search
Search
Search titles only
By:
New posts
Search forums
Menu
Log in
Register
Forums
ข่าวการเงิน
Forum ข่าวการเงินต่างประเทศ ข่าวการเงินรอบโลก
ธนาคารกลางทั่วโลกต่างมองหาทางออกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของตัวเอง
JavaScript is disabled. For a better experience, please enable JavaScript in your browser before proceeding.
Reply to thread
Message
<p>[QUOTE="WealthUp, post: 2607, member: 27"]</p><p style="text-align: center">[ATTACH=full]2746[/ATTACH]</p><p></p><p>ธนาคารกลางของโลกกำลังเตรียมลดการกระตุ้น ขณะที่เฟดยังคงมุ่งมั่นที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ใกล้ศูนย์จนถึงสิ้นปีหน้าอย่างเร็วที่สุด แรงกดดันด้านเงินเฟ้ออาจเร่งขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าและมีแนวโน้มเพิ่มความผันผวนในตลาดการเงินโลก</p><p></p><p>สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ การกลับสู่สภาวะก่อนเกิดโรคระบาดหมายถึงการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางได้ดำเนินการไปแล้ว</p><p></p><p>“มีความแตกต่างกันอย่างมากในกลุ่มเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดใหญ่ ธนาคารกลางเกิดใหม่บางแห่งอาจถูกบังคับให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อปกป้องสกุลเงิน แม้จะต้องเผชิญกับความเสียหายต่อเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางของพวกเขา” Takahide Kiuchi อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (BOJ)</p><p></p><p>ในด้านเฟดกล่าวว่า จะไม่เริ่มลดมาตรการกระตุ้นครั้งใหญ่ จนกว่าจะมี "ความคืบหน้าอย่างมาก" ในการฟื้นฟูตลาดแรงงานในสหรัฐฯ แต่ขณะนี้ ตลาดกำลังเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสที่เฟดจะเริ่มการทำ Tapering ที่อาจเริ่มขึ้นการในปลายปีนี้</p><p></p><p>อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางของแคนาดากลายเป็นประเทศแรกในกลุ่ม 7 ประเทศที่ถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในยุคการระบาดใหญ่ และอัตราที่ส่งสัญญาณจะเริ่มขึ้นในปี 2565 ธนาคารกลางนอร์เวย์ได้ประกาศแผนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไตรมาสที่สามหรือสี่ของปี 2564 แล้ว เช่นเดียวกับนิวซีแลนด์และเกาหลีใต้ต่างเริ่มส่งสัญญาณในทำนองเดียวกัน แม้แต่ธนาคารกลางของญี่ปุ่นซึ่งแทบไม่ขยับจากนโยบายที่เอื้อ ก็อาจหันหลังให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ</p><p></p><p>ประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดจากการเข้มงวดของเฟด ซึ่งในอดีตทำให้เกิดความปั่นป่วนของตลาด เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้นดึงดูดเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ดอลลาร์ ดังที่เกิดขึ้นในปี 2541 และ 2556</p><p></p><p>ตลาดเอเชีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวิกฤตการเงินเอเชียในปี 2541 ยังคงอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีทุนสำรองต่างประเทศที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับการเสียค่าเงิน</p><p>เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้ว่าการธนาคารกลางของอินเดียกล่าวว่าขณะนี้เงินสำรองของตนเกิน 6 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าจะช่วยรับมือกับความท้าทายดังกล่าว</p><p></p><p>“วิกฤตครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนเพราะไม่ใช่วิกฤตทางการเงินหรือวิกฤตเศรษฐกิจ” Nobuyasu Atago อดีตเจ้าหน้าที่ของ BOJ ซึ่งปัจจุบันเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ Ichiyoshi Securities ของญี่ปุ่นกล่าว "ความไม่สม่ำเสมอของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันทำให้เกิดความเสี่ยงที่หลากหลายสำหรับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่"</p><p></p><p>อาทิ อินโดนีเซีย ซึ่งอาศัยกระแสเงินไหลเข้าจากต่างประเทศเพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด นอกจากนี้ ธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น เช่น บราซิล กานา และอาร์เมเนีย</p><p></p><p><em>แหล่งข่าว As Fed taper looms, global central banks eye their own exits from stimulus โดย Reuters</em></p><p><em></em></p><p><em><strong>แปลโดยทีม TradersThailand</strong></em></p><p>[/QUOTE]</p>
[QUOTE="WealthUp, post: 2607, member: 27"] [CENTER][ATTACH type="full"]2746[/ATTACH][/CENTER] ธนาคารกลางของโลกกำลังเตรียมลดการกระตุ้น ขณะที่เฟดยังคงมุ่งมั่นที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ใกล้ศูนย์จนถึงสิ้นปีหน้าอย่างเร็วที่สุด แรงกดดันด้านเงินเฟ้ออาจเร่งขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าและมีแนวโน้มเพิ่มความผันผวนในตลาดการเงินโลก สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ การกลับสู่สภาวะก่อนเกิดโรคระบาดหมายถึงการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางได้ดำเนินการไปแล้ว “มีความแตกต่างกันอย่างมากในกลุ่มเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดใหญ่ ธนาคารกลางเกิดใหม่บางแห่งอาจถูกบังคับให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อปกป้องสกุลเงิน แม้จะต้องเผชิญกับความเสียหายต่อเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางของพวกเขา” Takahide Kiuchi อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (BOJ) ในด้านเฟดกล่าวว่า จะไม่เริ่มลดมาตรการกระตุ้นครั้งใหญ่ จนกว่าจะมี "ความคืบหน้าอย่างมาก" ในการฟื้นฟูตลาดแรงงานในสหรัฐฯ แต่ขณะนี้ ตลาดกำลังเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสที่เฟดจะเริ่มการทำ Tapering ที่อาจเริ่มขึ้นการในปลายปีนี้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางของแคนาดากลายเป็นประเทศแรกในกลุ่ม 7 ประเทศที่ถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในยุคการระบาดใหญ่ และอัตราที่ส่งสัญญาณจะเริ่มขึ้นในปี 2565 ธนาคารกลางนอร์เวย์ได้ประกาศแผนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไตรมาสที่สามหรือสี่ของปี 2564 แล้ว เช่นเดียวกับนิวซีแลนด์และเกาหลีใต้ต่างเริ่มส่งสัญญาณในทำนองเดียวกัน แม้แต่ธนาคารกลางของญี่ปุ่นซึ่งแทบไม่ขยับจากนโยบายที่เอื้อ ก็อาจหันหลังให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดจากการเข้มงวดของเฟด ซึ่งในอดีตทำให้เกิดความปั่นป่วนของตลาด เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้นดึงดูดเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ดอลลาร์ ดังที่เกิดขึ้นในปี 2541 และ 2556 ตลาดเอเชีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวิกฤตการเงินเอเชียในปี 2541 ยังคงอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีทุนสำรองต่างประเทศที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับการเสียค่าเงิน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้ว่าการธนาคารกลางของอินเดียกล่าวว่าขณะนี้เงินสำรองของตนเกิน 6 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าจะช่วยรับมือกับความท้าทายดังกล่าว “วิกฤตครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนเพราะไม่ใช่วิกฤตทางการเงินหรือวิกฤตเศรษฐกิจ” Nobuyasu Atago อดีตเจ้าหน้าที่ของ BOJ ซึ่งปัจจุบันเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ Ichiyoshi Securities ของญี่ปุ่นกล่าว "ความไม่สม่ำเสมอของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันทำให้เกิดความเสี่ยงที่หลากหลายสำหรับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่" อาทิ อินโดนีเซีย ซึ่งอาศัยกระแสเงินไหลเข้าจากต่างประเทศเพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด นอกจากนี้ ธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น เช่น บราซิล กานา และอาร์เมเนีย [I]แหล่งข่าว As Fed taper looms, global central banks eye their own exits from stimulus โดย Reuters [B]แปลโดยทีม TradersThailand[/B][/I] [/QUOTE]
Preview
Name
Verification
Post reply
Forums
ข่าวการเงิน
Forum ข่าวการเงินต่างประเทศ ข่าวการเงินรอบโลก
ธนาคารกลางทั่วโลกต่างมองหาทางออกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของตัวเอง
Top