ธปท.ชี้ขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น 70% ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการคลัง

WealthUp

Moderator
Staff member
Optimized-21.jpg

แบงก์ชาติ ชี้การขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% ต่อ GDP จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการคลัง ยันความเสี่ยงถูกปรับลด credit rating อยู่ในระดับต่ำ และหนี้ทั้งหมดเป็นหนี้ในประเทศ

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 64 นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 64 ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบการขยายเพดานหนี้สาธารณะ เป็นร้อยละ 70 ของ GDP (จากร้อยละ 60 ของ GDP) เพื่อเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง

โดยธปท. เข้าร่วมประชุมและเห็นความจำเป็นในการปรับเพิ่มเพดานหนี้ดังกล่าว เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้กับการดำเนินนโยบายเพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 และพยุงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า โดยประเมินว่าความเสี่ยงต่างๆ ยังต่ำ โดยการใช้จ่ายภาครัฐควรเน้นโครงการที่มีประสิทธิผลสูงและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ และจะต้องเร่งลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP กลับมาที่ร้อยละ 60 ให้ได้ในระยะต่อไป

ทั้งนี้ การขยายเพดานหนี้สาธารณะในครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลจะต้องกู้เงินเพื่อให้ถึงเพดานหนี้สาธารณะ แต่เป็นการเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินมาตรการให้กับภาครัฐ เนื่องจากมาตรการทางการคลังยังจำเป็นต้องมีบทบาทต่อเนื่องในการช่วยเสริมรายได้ของประชาชนที่ลดลงมาก เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว

นอกจากนี้ พ.ร.ก. 5 แสนล้านที่จะกู้เพิ่มเติมในปีนี้และปี 65 เพื่อใช้เยียวยาและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับเศรษฐกิจที่ชะลอลง คาดว่าจะส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงกว่าร้อยละ 60 ในปี 2565 อยู่ก่อนแล้ว

ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังในการปรับเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นครั้งนี้อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจาก

1. เพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP ไปอยู่ที่ร้อยละ 70 ไม่ถือว่าสูงเกินไป ซึ่งปัจจุบัน สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ร้อยละ 55.6 เทียบกับระดับปัจจุบันของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่ประมาณร้อยละ 120 และกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาในแถบเอเชียที่ประมาณร้อยละ 70

2. หนี้สาธารณะของไทยเกือบทั้งหมดเป็นหนี้ในประเทศ (ร้อยละ 98.2) และต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลไทยอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปีของไทย ณ วันที่ 20 ก.ย. 64 อยู่ต่ำกว่าร้อยละ 1.8 ซึ่งต่ำสุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในอาเซียน โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับเกินร้อยละ 3

3. ความเสี่ยงในการถูกปรับลด credit rating ของไทยอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากการประเมินความน่าเชื่อถือของแต่ละประเทศจะขึ้นกับประสิทธิผลของมาตรการในการพยุงและฟื้นฟูเศรษฐกิจ และความสามารถในการบริหารจัดการหนี้ในระยะข้างหน้าเป็นสำคัญ ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าประเทศที่กำลังพัฒนาในแถบเอเชียที่มี credit rating ระดับเดียวกับไทย มีหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่สูงกว่าไทยเป็นส่วนใหญ่ เช่น อินเดียที่ร้อยละ 87 และมาเลเซียที่ร้อยละ 67

แหล่งข่าว ธปท.ชี้ขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น 70% ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการคลัง, ไทยรัฐ, 21 ก.ย. 2564
 

Members online

No members online now.

Forum statistics

Threads
12,180
Messages
12,435
Members
319
Latest member
SEO01

สนับสนุนโดย

Top