รศ.ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า วิกฤติโรคระบาดโควิด-19 มีความรุนแรงเป็นวงกว้างยิ่งกว่าสมัยวิกฤติต้มยำกุ้งอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักคือผู้มีรายได้น้อยที่มีความเปราะบางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เปรียบเสมือนคนอ่อนแอเมื่อติดเชื้อก็จะทรุดหนักและใช้เวลาฟื้นนาน
รศ.ดร.สมประวิณ เสริมว่า หลักพื้นฐานสำคัญของเศรษฐศาสตร์คือ ให้ประชาชนเห็นทางเลือก แม้จะไม่สามารถทำนโยบายที่ช่วยทุกคนได้ แต่อย่างน้อยควรแจ้งให้ทราบว่า รัฐบาลมีเครื่องมืออะไรบ้างอยู่ในมือ ใช้ได้เมื่อไหร่ และความคาดหวังของการใช้เครื่องมือแต่ละอย่างคืออะไร เวลานี้คนทำตัวไม่ถูก เลือดยังไม่หยุดไหลคือเงินยังไหลออกจากกระเป๋า ในขณะที่กระแสเงินสดขาเข้าหายไป การมีหลักประกันทางสังคม (Social Safety Net) มีความสำคัญมาก เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้คนตกหลุมลึก และควรมองไปถึงการสร้างพื้นที่ให้คนมีโอกาสดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อีกครั้งหลังโควิด
ขณะที่ ดร.กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ Professor of Economics, School of Global Policy and Strategy, University of California San Diego มองว่า ประเทศไทยยังคงมีทรัพยากรที่นำมากู้วิกฤติได้แต่ขาดการจัดการที่ดี
ดร.กฤษฎ์เลิศ ชี้ว่า การจัดการที่ดียังรวมไปถึงความร่วมมือกัน (Policy Coordination) ภาครัฐมีสถานะทางการเงินการคลังแข็งแกร่ง ภาคเอกชนภาคประชาสังคมมีทั้งไอเดีย ทุน ความมุ่งมั่นตั้งใจเต็มเปี่ยมที่อยากยื่นมือช่วย แต่ติดเรื่องระเบียบภาครัฐทำให้เข้ามาไม่ได้
ดร.กฤษฎ์เลิศ เสริมว่า คนจะกลับไปดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจพร้อมแบกภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น มิติการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังจากนี้ไม่ใช่การโตด้วยตัวเลข แต่ต้องมี 3 ด้าน คือ โตอย่างมีประสิทธิภาพ (Productivity & Efficiency) ล้มแล้วลุกให้เร็ว (Resiliency) และโตแบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Inclusivity)
ผศ.ดร.พงศ์ศักดิ์ เหลืองอร่าม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจำเป็นต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในยามวิกฤติตั้งแต่สมัยสงครามโลกหรือต้มยำกุ้งก็ตาม เกิดการปฏิรูปสถาบันทางกฎหมายและเศรษฐกิจอย่างมโหฬาร รัฐบาลต้องออกกฎหมายฉุกเฉินเพราะกฎหมายในยามปกติใช้ช่วยเหลือคนหมู่มากในคราวเดียวไม่ได้
ผศ.ดร.พงศ์ศักดิ์ ระบุว่า การพาประเทศให้มีอัตราการเติบโตที่มากกว่านี้ ไม่ใช่แค่เรื่องทุนมนุษย์หรือทุนเทคโนโลยี มีงานวิจัยระดับโลกชี้ว่ารากฐานของเศรษฐกิจที่ดีคือสถาบันที่แข็งแกร่ง จากเหตุการณ์ของไทยครั้งนี้เป็นไปได้ที่จะนำไปสู่การปฏิรูปสถาบัน (Institutional Reform) โดยเฉพาะสถาบันทางการเมือง ในอดีตการปฏิรูปเกิดจากข้างบนลงมา (Top Down) เช่น กระแสโลกเปลี่ยนไป ผู้บริหารประเทศกลัวจะตามไม่ทันก็ปฏิรูปบ้านเมือง
ผศ.ดร.พงศ์ศักดิ์ ชี้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เกิดการเปลี่ยนผ่านจากข้างล่างขึ้นมา (Bottom Up) ย่อมไม่ราบรื่น อาจเกิดการปะทะกันได้ ความกังวลที่สุดคือแม้จะจบโควิดแล้วแต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงอยู่
“ช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง แบงก์ชาติเคยเป็นสถาบันที่หมดความน่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิง ถึงขั้นที่ว่า เรียกแท็กซี่ไปแบงก์ชาติ แท็กซี่ไม่ไป เพราะมองว่าเป็นผู้ร้ายทำลายเศรษฐกิจพังพินาศ แบงก์ชาติจึงต้องปฏิรูปตนเองมโหฬาร สร้างความชอบธรรมกลับมาใหม่ด้วยการทำงานอย่างโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนเข้าถึงได้ จนปัจจุบันได้รับการจัดอันดับความโปร่งใสติดอันดับท็อปของเอเชีย ในวิกฤติโควิด-19 นี้ การแสดงออกซึ่งความรับผิดชอบ (Accountability) ของรัฐบาลกำลังตกต่ำอย่างมาก หากจะเรียกกลับคืนมาได้ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลที่ดี ให้ผู้จัดการทางเศรษฐกิจมีความน่าเชื่อถือ พอจะเปลี่ยนแปลง คนก็ร่วมด้วย ยิ่งเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น”
แหล่งข่าว นักเศรษฐศาสตร์แนะ ‘ปฏิรูปใหญ่’ ระดับโครงสร้าง รับมือ ‘วิกฤติโควิด’, bangkokbiznews, 12 ส.ค. 2564