Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลในโลกของคริปโตฯ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และมีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดคริปโตฯ เนื่องจากเป็นสกุลเงินดิจิทัลสกุลแรกที่เกิดขึ้นบนโลก เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่เหมาะแก่การสะสม เนื่องจากมีการพิสูจน์แล้วว่า Bitcoin เป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นและสินทรัพย์ต่างๆ
นอกเหนือจาก Bitcoin แล้ว ยังมีสกุลเงินในโลกของคริปโตฯ อีกมากกว่า 5,000 สกุลเงิน โดยสกุลอื่นๆ เหล่านี้เรียกรวมกันว่า อัลท์คอยน์ (Altcoin) ซึ่งย่อมาจาก Alternative Coin
ในส่วนของสกุลเงิน Bitcoin การได้มานั้น มีวิธีอยู่หลักๆ 2 แบบ คือ
1. การขุด Bitcoin โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ขุด Bitcoin ซึ่งจะมีต้นทุนในส่วนของค่าเครื่อง ค่าไฟฟ้าในการขุด
2. การเทรด Bitcoin เป็นการซื้อขาย Bitcoin ที่ต้องฝากเงินเข้าไปไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลเพื่อเทรด คล้ายกับการเล่นหุ้น สามารถสมัครได้ง่ายตามเว็บเทรดที่ให้บริการทั่วไป ซึ่งปัจจุบันมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ควรเลือกเว็บเทรดที่ ก.ล.ต. รับรอง เช่น Bitkub
กำไรจากการเทรดคริปโตฯ ต้องเสีย ภาษีคริปโตฯ 15%
รูปแบบการเสียภาษีที่มาจากกำไรในการลงทุนด้านสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น นักลงทุนที่มีกำไรจากการซื้อขายเหรียญคริปโตฯ หรือลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร จะถือเป็น เงินได้ตามมาตรา 40(4)(ฌ) เงินได้จากผลประโยชน์/กำไร ที่ได้รับจากการโอนคริปโตฯ หรือโทเคนดิจิทัล ซึ่งนักลงทุนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายในอัตรา 15%
และแม้ว่าจะถูกหัก ณ ที่จ่ายไปแล้ว 15% แต่ยังคงต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาคำนวณรวมกับเงินได้อื่นๆ เพื่อยื่นแบบเสียภาษีบุคคลธรรมดาประจำปี ตามปีที่ได้กำไรด้วย
หากเป็นกำไรในรูปแบบนิติบุคคล กิจการต้องนำกำไรไปรวมคำนวณภาษีประจำปีด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเรียกตรวจสอบย้อนหลัง
หลักการ "เสียภาษีคริปโตฯ"
หลักการเสียภาษีตามกฎหมายกำหนด มีดังนี้
หากเทรดสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่ถือไว้มีสิทธิได้รับผลประโยชน์ หรือส่วนแบ่งกำไรให้แก่ผู้ถือ เงินได้ส่วนนี้ จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% จากกำไรที่เกิดขึ้นก่อนมีการจ่ายเงินให้นักลงทุน
วิธีการคำนวณภาษีคริปโตฯ และ เสีย “ภาษีคริปโตฯ”
กำไรที่ได้รับจากการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล หลังจากถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว 15% ถือเป็นการชำระภาษีล่วงหน้าเท่านั้น นักลงทุนจะต้องนำมาคำนวณรวมกับเงินได้อื่นๆ เพื่อยื่นภาษีประจำปีโดยมี
วิธีการคำนวณภาษีคริปโตฯ ดังนี้
ตัวอย่างเช่น
นักลงทุนขาย Bitcoin ได้กำไร 150,000 บาท หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% = 22,500 บาท จะเหลือกำไรที่ได้รับ 127,000 บาท
จากนั้นเมื่อต้องยื่นภาษีปลายปี หากมีเงินได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว อยู่ที่ 600,000 ให้นำกำไรจากการขาย Bitcoin มารวมกับเงินได้สุทธิ จะได้เท่ากับ 600,000+150,000 = 750,000 บาท แล้วนำมาเทียบตารางอัตราภาษีก้าวหน้า
ภาษีที่ต้องเสียคือ 72,500 (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา) – 22,500 (ภาษีหัก ณ ที่จ่าย) = 50,000 บาท
รู้ได้อย่างไรว่า มีกำไรคริปโตฯ เท่าไหร่
ในทางปฏิบัติ นั้น การคำนวณหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ยังเป็นไปได้ยากเพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าต้นทุนตอนซื้อที่แท้จริงเท่าไร โดยเฉพาะนักลงทุนประเภทที่ได้รับคริปโตฯ มาจากการขุดเอง จะเป็นการยากมากที่จะคิดจำนวนกำไรที่จะนำมาคำนวณภาษี รวมถึงนักลงทุนจะไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายจากต้นทุนการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อื่นๆที่จำเป็นในการขุด รวมถึงค่าไฟฟ้าได้เลย
เนื่องจากข้อจำกัดที่กล่าวมาด้านบน จึงทำให้เว็บเทรดยังไม่สามารถหักภาษี ณ ที่จ่ายในส่วนของกำไรที่ได้จากการขายคริปโตฯได้ ยกเว้นกรณีที่มีรายได้จากการแนะนำเพื่อนเกิน 1,000 บาท/เดือน สามารถหักภาษี ณ ที่จ่ายได้ และมีเอกสารการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้กับนักลงทุน
ดังนั้นในปัจจุบัน นักลงทุนหรือนักเทรดต้องคำนวณภาพรวมการซื้อขายว่าได้กำไรหรือขาดทุนด้วยตัวเอง และหากได้กำไรก็ต้องยื่นและเสียภาษีอย่างถูกต้องด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันการถูกเรียกตรวจสอบย้อนหลัง
แหล่งข่าว บทสรุป "ภาษีคริปโตฯ" นักเทรดต้องรู้ ได้ “กำไร" จากการเทรด “เสียภาษี” อย่างไร, bangkokbiznews, 21 พ.ย. 2564