บล.กสิกรไทย ระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่ตลาดหุ้นทั่วโลกรอติดตามขณะนี้ คือ การประชุม Fed วันที่ 20-21 ก.ย. ว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% หรือไม่? และรอดู Dotplot ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐในปีนี้และปีหน้าว่าจะเป็นอย่างไร หลังสัปดาห์นี้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาทั้งเงินเฟ้อ CPI, PPI สะท้อนว่าผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ยังสูงกว่าที่ตลาดคาด ทำให้ตลาดยังผันผวน
ส่วนในประเทศติดตามค่าเงินบาทอ่อนค่าแรงแตะ 37 บาทต่อดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 16 ปี ประเมินเป็น Sentiment บวกต่อหุ้นในกลุ่มส่งออก อาทิ ส่งออกอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ แต่จะกระทบต่อผู้นำเข้า และบริษัทที่มีหนี้สกุลเงินดอลลาร์ในสัดส่วนสูง ขณะที่การอ่อนค่าของเงินบาทจะกดดันให้ Fund Flow ไหลออกช่วงสั้น
ระยะสั้นเงินบาทที่อ่อนค่าเป็นผลจากการแข็งค่าของ Dollar index โดย KBANK ประเมินเงินบาทจะกลับมาแข็งปลายปีบริเวณ 35.5 บาท โดยปัจจัยหนุนมาจาก
1.) แนวโน้มนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4 หนุนดุลบริการ
2.) เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัว
3.) เงินเฟ้อไทยผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
4.) เงินสำรองระหว่างประเทศ ฯลฯ
กลยุทธ์การลงทุน
สลับการถือครองหุ้นที่ต่างชาติถือในสัดส่วนที่สูง อาทิ (กลุ่มโรงพยาบาล อิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์) มายังหุ้นกลุ่ม laggard อาทิ กลุ่มรับเหมา CK, สื่อ PLANB, กลุ่มพาณิชย์ CPALL, กลุ่มการเงิน SAWAD, SAK กลุ่มบรรจุภัณฑ์ SCGP และกลุ่มธนาคาร SCB โดยหุ้นเหล่านี้นักลงทุนต่างชาติยังถือครองน้อย และเป็นผู้ได้ประโยชน์หลักจากการเปิดเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวที่ฟื้น รายได้ภาคเกษตรที่ดีขึ้น FDI และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
แหล่งข่าว บล.กสิกรไทย ชี้เงินบาทอ่อนค่าแรงแตะ 37 บาท กดดันฟันด์โฟลว์ไหลออกช่วงสั้น, bangkokbiznews, 18 ก.ย. 2565