หลังเงินเฟ้อสหรัฐพุ่งสูงสุดในรอบ 41 ปี กดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัว ด้วยการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเต็มสูบ โดยมีเป้าหมายว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 3.4% จากปัจจุบันที่ 1.50-1.75%
ทั้งนี้ การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอความร้อนแรงลงไปด้วย ขณะเดียวกันเริ่มเกิดสัญญาณ Inverted Yield Curve หรือ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลกลับหัวลง โดยพันธบัตรระยะสั้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรระยะยาว
หลังประชาชนแห่ไปซื้อพันธบัตรระยะยาว เพราะกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวลดลง โดยขณะนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี และ 2 ปี แคบลงเรื่อยๆ จนใกล้ถึงศูนย์ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเกิด Inverted Yield Curve อีกไม่นานเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยสร้างความผันผวนให้กับตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกยังมีแรงเทขายต่อเนื่อง ขณะเดียวกันราคาน้ำมันดิบย่อตัวลง โดยมีจังหวะหลุดไปต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากมองว่าหากเศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้นจริงจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงไปด้วย
ทั้งนี้ ต้องรอการประกาศตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 ปี 2565 ของสหรัฐอย่างเป็นทางการว่าจะออกมาเป็นอย่างไร หลังจีดีพีไตรมาส 1 ติดลบ -1.6% จากไตรมาสก่อน ซึ่งหากตัวเลขไตรมาส 2 ออกมาติดลบต่อเนื่อง ถือเป็นการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเต็มรูปแบบ ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก โดยล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา ได้คาดการณ์ว่าจีดีพีไตรมาส 2 จะหดตัว -2.1%
แหล่งข่าว ปรับกลยุทธ์รับมือ "เศรษฐกิจถดถอย" หุ้นกลุ่มไหนน่าสนใจ?, bangkokbiznews, 10 ก.ค. 2565