ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 2 ธ.ค.64 ปิดที่ 1,591.84 จุด เพิ่มขึ้น 1.03 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 67,069.51 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,475.86 ล้านบาท
บล.เอเซียพลัส ระบุกระแสปรามการใช้ Crypto Currency จากธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ออกประกาศว่า ธปท.ไม่สนับสนุนการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ เนื่องจาก 1.มีความผันผวนสูง 2.มีความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ 3.อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของการฟอกเงิน
ประเมินว่าปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนในไทยประกอบธุรกิจเกี่ยวข้อง Crypto currency แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ ICO portal, รับชำระค่าสินค้าบริการ , ลงทุนใน Crypto currency และขุดเหรียญ Bitcoin Mining ดังรูป
เอเซียพลัสประเมินว่า การประกาศจาก ธปท.จะ Impact หรือสร้าง Sentiment ลบต่อบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจประเภทที่ 1 คือ ICO portal อาทิ KBANK, SCB, XPG, CGH ฯลฯ เนื่องจากอาจ ทำให้กระบวนการออกเหรียญ หรือ Token ในตลาดมีอุปสรรค ฯลฯ
ส่วนบริษัทประเภทที่ 2 คือผู้ที่รับเหรียญชำระค่าสินค้าบริการ อาทิ กลุ่มอสังหา SIRI ANAN ORI MJD กลุ่มสื่อ อาทิ MAJOR คาดไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากผู้บริโภคยังเป็นส่วนน้อยที่ใช้เหรียญในการซื้อขายสินค้าและบริการอย่างมีนัย ส่วนธุรกิจประเภทที่ 3-4 คาดไม่กระทบเลยเนื่องจากไม่ได้เกี่ยวข้อง!!
ส่วนประเด็น Omicron นั้น เอเซียพลัสระบุว่า Fund Flow ตอบรับ Omicron ในระดับหนึ่ง แต่ช่วงสั้นตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงกว่าปกติมาก แต่เชื่อว่าเดือน ธ.ค.จะมี Fund Flow จากกองทุนประหยัดภาษี ที่ปกติจะมียอดซื้อเข้ามาเกิน 25% ของยอดซื้อทั้งปี ส่วนต่างชาติแม้ยังขายสุทธิ แต่สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำสุดตลอดกาล ที่ระดับ 17.94% หากรวมการถือครองผ่าน NVDR จะอยู่ที่ 23.20% ซึ่งห่างกับสมัยก่อนที่ถือครองเกิน 30% อยู่มาก
สรุปคือยังมีความคาดหวังเห็นเม็ดเงินจากกองทุนประหยัดภาษีมาช่วยพยุงหุ้นช่วงท้ายปี หากความกังวลโควิดสายพันธุ์ใหม่กินเวลาไม่นาน บวกกับ Flow ต่างชาติมีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยในระยะถัดไป
แนะกลยุทธ์ เลี่ยงการ Trading ช่วงสั้น และสำรองเงินสดไว้บางส่วน เพื่อหลบความผันผวนของตลาด ในมุมกลับถ้าดัชนีที่ปรับฐานลงมาลึก ถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสมเพื่อหวังผลในระยะกลางถึงยาว
แหล่งข่าว ปรามคริปโต-โอมิครอน!!, ไทยรัฐ, 3 ธ.ค. 2564