ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 19 พ.ค.65 ปิดที่ 1,605.98 จุด ลดลง 14.35 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 62,664.04 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 432.44 ล้านบาท
หุ้นไทยดิ่งลงแรงตามภาพรวมตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนีดาวโจนส์ลดลงกว่า 1,000 จุด จากความกังวลธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณใช้ยาแรง เปิดทางขึ้นดอกเบี้ยแบบรุนแรง เพื่อสกัดเงินเฟ้อสูง ท่ามกลางสถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น กดดันหุ้นไทย ลงไปทำจุดต่ำสุดลบ 28.23 จุด หลุด 1,600 จุด มาที่ 1,592.10 จุด
ขณะที่ยังกลับมากังวลนโยบายคุมไวรัสโควิด-19 ให้เหลือศูนย์ (zero-COVID) ของรัฐบาลจีน และผลกระทบเศรษฐกิจจากสงครามยูเครน-รัสเซีย และราคาน้ำมันดิบโลกยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
บล.เอเซียพลัส ชี้ว่า สงครามรัสเชีย-ยูเครนที่ยังดูยืดเยื้อ กระทบบรรยากาศการลงทุน และทิศทางราคาน้ำมันโลก หลังสวีเดนและฟินแลนด์ยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโตแล้ว โดยนายกฯของสวีเดน กล่าวว่า การเป็นสมาชิกนาโตจะเพิ่มความแข็งแกร่ง ด้านความมั่นคงให้สวีเดน
บล.เอเซียพลัส ยังประเมินว่า หุ้นค้าปลีกไทยมีโอกาสผันผวนจากความกังวลเงินเฟ้อตามสหรัฐฯ โดยการปรับตัวลงดัชนี S&P500 นำโดยหุ้นกลุ่มค้าปลีก จากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจ เงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการเพิ่มขึ้นของค่าขนส่ง อาจมี sentiment เชิงลบต่อราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกในไทย
ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะกลยุทธ์ลงทุน เน้นหุ้น Value Play ที่มี PER/PBV ต่ำ และมีแนวโน้มกำไร Q2/65 ที่แข็งแรงต่อเนื่อง ซึ่งคาดปรับตัวได้แข็งแกร่งกว่าตลาด สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาวยังไม่แนะนำเพิ่มพอร์ตหลังให้สะสมไปแล้วบริเวณ 1,600+- จุด
ทิสโก้แนะนำ “ซื้อ” หุ้น RS มองแนวโน้มฟื้นตัวตั้งแต่ 2Q22 เป็นต้นไป ให้ราคาเป้าหมาย 21.30 บาท และหุ้น BEM ชี้การฟื้นตัวชัดเจนจากการเปิดเมือง คาด 2Q22 เติบโต แนะ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 9.80 บาท.
แหล่งข่าว ปัจจัยลบรอบด้าน!!, ไทยรัฐ, 20 พ.ค. 2565