ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 7 ก.ค.64 ปิดที่ 1,576.60 จุด ลดลง 14.83 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 82,477.06 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,423.07 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด MENA ปิด 2.48 บาท บวก 1.28 บาท, BBL ปิด 108 บาท ลบ 4 บาท, KBANK ปิด 117 บาท ลบ 1 บาท, SCB ปิด 94.50 บาท ลบ 1.75 บาท, CPALL ปิด 60.25 บาทบวก 0.25 บาท
บล.เคทีบีเอสทีระบุว่าจากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้นต่อเนื่อง อาจกดดันทำให้ ศบค.ประกาศล็อกดาวน์ในพื้นที่ 10 จังหวัด ยาว 14-30 วัน เนื่องจากระบบสาธารณสุขอาจรองรับไม่ได้ และโรงแรมที่ทำ Hospitel อาจจะเต็มในเร็วๆนี้ ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์อาจไม่สามารถรองรับได้
ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นนั้น หากเทียบกับปีที่แล้ว ตลาดจะปรับตัวลงก่อนล็อกดาวน์ เพราะนักลงทุนกังวล แต่หลังประกาศตลาดจะคาดหวังว่าตัวเลขคนติดเชื้อจะลดลง ทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสรีบาวน์กลับปรับตัวขึ้นมาได้ ซึ่งครั้งนี้อาจเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งหากมีล็อกดาวน์หุ้นไทยมีแนวโน้มจะลงสู่แนวรับ 1,530-1,500 จุด
สำหรับหุ้นที่ได้รับผลกระทบ คือกลุ่มที่ยังไม่ได้สั่งปิด เช่น ห้างสรรพสินค้า กลุ่มสถาบันการเงิน ที่อาจได้รับผลกระทบจากลูกหนี้ไม่มีเงินจ่ายหนี้ ส่วนกลุ่มที่ได้ประโยชน์ เช่น หุ้นโรงพยาบาล กลุ่มที่เกี่ยวกับการทำงานที่บ้าน
บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่า กรณีเลวร้ายสุดมีการประกาศล็อกดาวน์ 10 จังหวัด หุ้นกลุ่มรีโอเพนนิ่งจะโดนกดดันก่อนเป็นอันดับแรก ด้านเทคนิคประเมินแนวรับตลาดไว้ที่ 1,550-1,520 จุด
แนะกลยุทธ์เน้นลงทุนหุ้นกลุ่มที่ผลประกอบการดี เช่น หุ้นส่งออก และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยในประเทศน้อย โดยใช้กลยุทธ์ “Buy on dip” คือ จังหวัดที่ตลาดผันผวนเชิงลบ เหวี่ยงลงแรง มองเป็นโอกาสในการเลือกซื้อรายตัว โดยหุ้นเด่นสำหรับธีมการลงทุน TOA-TVO หุ้นที่คาดกำไรออกมาดี TIDLOR
กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ที่กำลังจะฟื้นตัวในเรื่องชิปขาดแคลนที่น่าจะเริ่มดีขึ้น เช่น KCE และกลุ่มที่คิดว่ากำไรจะดีต่อเนื่อง เช่น ICHI!!
แหล่งข่าว ผวาล็อกดาวน์, ไทยรัฐ, 07 ก.ค. 2564