ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 25 ม.ค.65 ปิดที่ 1,639.09 จุด ลดลง 1.45 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 84,770.62 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 3,421.04 ล้านบาท
ตลาดหุ้นโลกแกว่งผันผวนหนัก โดยตลาดหุ้นเอเชียและยุโรปปรับลงเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯแม้กลับมาปิดตลาดในแดนบวกได้ แต่ระหว่างการซื้อขายหุ้นสหรัฐฯปรับลงแรงกว่า 1,000 จุด โดย หุ้นโลกยังเผชิญความผันผวนจากการรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) วันที่ 25-26 ม.ค. (ไทยจะทราบผล 27 ม.ค.65) ส่งผลให้ ตลาดหุ้นยังแกว่งผันผวน แม้ Fed น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% ในรอบนี้
แต่ตลาดให้น้ำหนักความเห็นของประธาน Fed และคณะกรรมการว่า จะส่งสัญญาณเร่งการใช้นโยบายการเงินตึงตัวมากขึ้นหรือไม่ เช่น ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่เคยส่งสัญญาณว่าจะขึ้นราว 3-4 ครั้ง รวมถึงเร่งรัดการปรับลดวงเงิน QE และลดขนาดงบดุล
บล.เอเซียพลัส เชื่อว่าหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า เพราะโครงสร้างตลาดหุ้นไทยประกอบด้วยหุ้นกลุ่มธุรกิจแบบดั้งเดิม (Old Economy) เป็นหลัก เช่น พลังงาน-ปิโตร, ธนาคาร, ค้าปลีก, สื่อสาร ซึ่งจะมีความอ่อนไหวต่อการปรับขึ้นของดอกเบี้ยน้อยกว่ากลุ่มธุรกิจแบบใหม่ (New Economy) เช่น กลุ่มเทคโนโลยี
ขณะที่การออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐที่วงเงินลดน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในไทยไม่ได้รุนแรงจนนำไปสู่การ Lockdown เข้มงวด เอเซียพลัสเชื่อว่าในระยะข้างหน้าภาครัฐจะหันไปเน้นผลักดันการลงทุนต่างๆมากขึ้น
โครงการที่จะได้รับการผลักดันเป็นอันดับแรกๆ คือ โครงการลงทุนของรัฐ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ซึ่ง รฟม.ได้เปิดซองคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้เข้าร่วมประมูลแล้ว และกำลังเตรียมเปิดซองด้านเทคนิค และด้านราคาต่อไป โดยกระบวนการทั้งหมดน่าจะเสร็จสิ้น มี.ค.65
ประเมินหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการรัฐ คือ กลุ่มบริโภค-ท่องเที่ยว คือ ERW, CENTEL, MINT, AOT, CRC, CPN, CPALL, MAKRO และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากกระแสการลงทุนของรัฐ คือ STEC, CK
ขณะที่หุ้นไทยและต่างประเทศจะยังผันผวนตลอดทั้งสัปดาห์ ประเมินกรอบดัชนี 1,635–1,658 จุด ถ้าหลุดแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1,625 จุด แนะหุ้นพื้นฐานดี ราคา Laggard ผันผวนต่ำจากปัจจัยภายนอก อย่าง CPALL, MAKRO รวมถึงหุ้น MINT!!
แหล่งข่าว ผันผวนทั้งสัปดาห์!!, ไทยรัฐ, 26 ม.ค. 2565