ปฏิเสธไม่ได้ว่าการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เป็นแนวทางการในก้าวข้ามวิกฤติโควิด-19 ที่ดีที่สุดในปัจจุบันขณะที่สังคมมีการเรียกร้องวัคซีนทางเลือกเพื่อเป็นช่องทางในการเสริมวัคซีนที่ทางการเป็นผู้จัดหา และวัคซีนทางเลือกได้ถูกปลดล็อคเพื่อให้องค์กรเอกชนดำเนินการจัดหาเพื่อฉีดให้กับพนักงาน ครอบครัวและประชาชน
วัคซีนทางเลือกไม่ได้เป็นแค่ทางเลือกใหม่ที่ช่วยให้การก้าวข้ามวิกฤติมีความรวดเร็วขึ้น แต่วัคซีนทางเลือกจะมาอุดช่องว่างของการจัดหาวัคซีนของภาครัฐที่ยังมีความไม่แน่นอนของการส่งมอบวัคซีนแอสตราเซเนก้าในระยะสั้น ซึ่งแม้จะมีสัญญาสั่งซื้อวัคซีนเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างบริษัทเจ้าของวัคซีนและรัฐบาล แต่หากเกิดความล่าช้าในการส่งมอบขึ้นมาแล้วรัฐบาลในฐานะคู่สัญญาควรเจรจาอย่างเคร่งครัดเพื่อเร่งรัดการส่งมอบหรือการแก้ปัญหาความล่าช้า
การฉีดวัคซีนในประเทศเริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.2564 นับถึงวันที่ 30 พ.ค.2564 มีการฉีดวัคซีนไปแล้ว 3.6 ล้านโดส แบ่งเป็นผู้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 2.49 ล้านราย และการฉีดเข็มที่ 2 จำนวน 1.11 ล้านราย แน่นอนว่าจำนวนผู้ฉีดวัคซีนยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ที่จะต้องฉีดให้ประชากรในประเทศไทยถึง 50 ล้านราย จำนวนผู้ฉีดวัคซีนที่ได้ไม่มาก แต่ขณะเดียวกันที่ผ่านมามีความไม่แน่นอนของการจองฉีดวัคซีนผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เข้าขั้นสร้างความสับสนให้ประชาชน
ถึงแม้ว่าวัคซีนทางเลือกจะอยู่ในขั้นตอนการเจรจา การสั่งจองและการสั่งซื้อ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในภาวะที่ประชาชนรอคอยความหวังในการฉีดวัคซีนแล้วมีข้อเสนอที่ดีในการจัดหาวัคซีนทางเลือกออกมาย่อมทำให้ประชาชนไม่น้อยมีความพึงพอใจมากขึ้น ซึ่งไม่ว่าวัคซีนทางเลือกจะได้รับการตอบรับที่ดีอย่างไร แต่อย่าลืมว่าวัคซีนหลักยังคงเป็นวัคซีนที่จัดหาโดยรัฐบาล ซึ่งเห็นว่าควรดำเนินการอย่างแข็งขันในการจัดหา เพื่อให้การรับมอบเป็นไปตามแผนการฉีดวัคซีนของประเทศไทยมากที่สุด
แหล่งข่าว วัคซีนทางเลือก สำคัญไม่แพ้วัคซีนหลัก, bangkokbiznews, 01 มิ.ย. 2564