นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า เตรียมส่งหนังสือคัดค้านกรณีกระทรวงการคลังเตรียมจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (Financial Transaction tax) ในอัตรา 0.1% ของมูลค่าขายเกิน 1 ล้านต่อเดือน โดยไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว มองว่าการขึ้นภาษีอาจส่งผลเสียมากกว่าได้ประโยชน์ เนื่องจากตลาดทุนไทยยังอยู่ในช่วงของการพัฒนา ปัจจุบันมีนักลงทุนเพียง 2 ล้านราย และทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ จำเป็นต้องกระตุ้นให้ประชาชนมาออมในตลาดทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนโยบายดังกล่าวอาจเป็นผลเสียต่อเรื่องการออมของประชาชนในอนาคต
ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้น มองว่าปัจจุบันอาจเห็นปริมาณการซื้อขาย (วอลลุ่ม) ที่ค่อนข้างสูง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนักลงทุนต่างชาติที่ใช้โปรแกรมการซื้อขายหุ้นหรือเข้ามาเทรดกันเองเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากมีการจัดเก็บภาษีต้นทุนจะสูงขึ้นเป็นเท่าตัวและจะทำให้เกิดการซื้อขายน้อยลง รวมถึงอาจกระทบต่อสภาพคล่องโดยรวมของตลาดหุ้นไทยให้ลดลงตามไปด้วย
“ไทยยังอยู่ในช่วงการพัฒนาตลาดทุนเพื่อช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) มีช่องทางเข้ามาระดมทุนหรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น และช่วยลดภาระภาคธนาคาร จึงเชื่อว่าการใช้ตลาดทุนในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและธุรกิจ SME น่าจะดีกว่าเข้ามาจัดเก็บภาษี เพราะอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย”
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เป็นนโยบายรัฐที่มองว่าปัจจุบันมีความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดเก็บภาษี เพราะได้ถูกยกเว้นมาหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม อยากฝากให้ภาครัฐพิจารณา หาแนวทางที่เหมาะสมเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นรวมทั้งอัตราภาษีที่จะเก็บ และจำนวนรายการหรือมูลค่าธุรกรรมการขาย ต้องมีความเหมาะสมและไม่เป็นต้นทุนกับนักลงทุนมากเกินไป เพราะการจัดเก็บภาษีจะทำให้ต้นทุนของนักลงทุนสูงขึ้น และนักลงทุนบางประเภทได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศที่ซื้อขายรวดเร็วโดยหวังผลกำไรระยะสั้น อาจกระทบต่อวอลลุ่มการซื้อขายในภาพรวม จากปัจจุบันที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยราว 90,000 ล้านบาทต่อวัน สูงสุดเป็นอับดับ 1 เทียบกับตลาดหุ้นอาเซียน
นอกจากนี้ อัตราการจัดเก็บภาษีต้องให้ตลาดทุนไทยแข่งขันกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคได้ และไม่แตกต่างจากตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ในโลกมากนัก และควรมีระยะเวลาแจ้งนักลงทุนให้ทราบล่วงหน้า เพื่อให้ปรับตัวได้ทัน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ภาษีดังกล่าวได้รับการยกเว้นมากกว่า 30 ปีแล้ว โดยการเรียกเก็บภาษีจะต้องดูหลายปัจจัยประกอบ โดยเฉพาะเงื่อนไขเวลาที่เหมาะสม และยืนยันว่า การเรียกเก็บภาษีดังกล่าวนั้น ประชาชน 85% หรือนักลงทุนรายย่อยจะไม่ได้รับผลกระทบแน่นอน
ทั้งนี้ แนวทางการศึกษาการเรียกเก็บภาษีการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ประกอบด้วย 3 แนวทาง คือ 1.การขายหุ้นในตลาดฯ 1 ล้านบาทต่อเดือน 2.การขายหุ้นในตลาดฯ 1.5 ล้านบาทต่อเดือน และ 3.การขายหุ้นในตลาดตั้งแต่ 2 ล้านบาทต่อเดือนขึ้นไป โดยในตรากฎหมายเดิมนั้นกำหนดไว้ว่าการขายหุ้นในตลาดฯ 1 ล้านบาทขึ้นไปจะต้องเสียภาษีในอัตรา 0.1% ของมูลค่าขาย แต่ปัจจุบันยังได้รับการยกเว้น
แหล่งข่าว สภาตลาดทุนค้านเก็บภาษีขายหุ้น ชี้ได้ไม่คุ้มเสียหวั่นสภาพคล่องหายวอลลุ่มต่างชาติหด, ไทยรัฐ, 18 ธ.ค. 2564
