ตลาดทางการเงินเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศทั่วโลก ซึ่งหมายถึงตลาดใดๆ ก็ตามที่มีการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน โดยมีศูนย์กลางแลกเปลี่ยนอยู่ในหลายๆ ที่ เช่น ลอนดอน นิวยอร์ก ชิคาโก โตเกียว ซิดนีย์ และมอสโกว ช่วงการซื้อขายอยู่ในเวลาทำการท้องถิ่นของเมืองเหล่านี้ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์
การซื้อขายรวมถึงการซื้อสินทรัพย์ทางกายภาพหรืออนุพันธ์ทั้งในรูปแบบการแลกเปลี่ยนและการซื้อขายแบบ OTC ซึ่งทำให้ผู้เทรดจากทั่วทุกมุมโลกซื้อขายสกุลเงินและสินค้าต่างๆ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ การซื้อขายครอบคลุมสินทรัพย์ต่างๆ เช่น
- คู่สกุลเงิน (เช่นคุณจะซื้อยูโรเป็นดอลลาร์ก็ได้ด้วยตัวเลือก EUR / USD)
- หุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ (เช่น แอปเปิ้ล เฟซบุ๊ค โคคาโคล่า) - บริษัทพลังงาน (เช่น น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ) โลหะ (ทองเงิน ทองคำขาว เป็นต้น)
- ดัชนี (ดาวโจนส์ Dax เอสแอนด์พี 500 เป็นต้น)
- สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อจัดหาผลิตภัณฑ์ในอนาคต (ฝ้าย ถั่วเหลือง ข้าวสาลี เป็นต้น)
ผู้ค้า (ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ) ทำธุรกรรมด้วยกันเอง โดยประมาณ 85% เป็นนักเทรดประเภทเก็งกำไร ที่ไม่ต้องการน้ำมันดิบหรือข้าวสาลี เพราะแสวงหาผลกำไรจากการขึ้นหรือลงของราคาสินทรัพย์
นักลงทุนใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการซื้อขาย เช่น Metatrader (MT4, MT5) หรือ cTrader ซึ่งแสดงราคาจริง คำสั่งซื้อต่างๆ และเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์
หากผู้เทรดมั่นใจว่าราคาตราสารจะเพิ่มขึ้น ก็จะทำการซื้อ โดยหวังกำไรในขณะที่ราคาสูงขึ้น และทำการปิดการซื้อขายเพื่อทำกำไร
หากคาดว่าราคาจะตกลง นักเทรดจะ “ขาย” เพื่อหวังทำกำไรขณะที่ราคาตกลง นักเทรดจะขาดทุนหากราคาขายไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์ไว้
หากปิดการขายแล้ว บัญชีจะแสดงยอดกำไรหรือขาดทุน
ราคา (ใบเสนอราคา) ของตราสารเปลี่ยนแปลงตลอด อาจจะทุกๆ วินาที ซึ่งสะท้อนถึงอุปสงค์และอุปทานทั่วโลกของผลิตภัณฑ์หนึ่งๆ เมื่อมีผู้คนจำนวนมากในตลาดที่ต้องการซื้อสินทรัพย์ (เช่น สกุลเงิน หุ้น หรือโลหะ) อุปสงค์จะเพิ่ม
หากอุปสงค์เพิ่ม ราคาจะปรับตัวขึ้นเพราะว่านักลงทุนสนใจที่จะเปิดตำแหน่งซื้อ จึงยอมซื้อขณะที่ราคาสูง
ในทางกลับกัน หากอุปสงค์ต่ำลง ราคาเฉลี่ยของสินค้าจะลดลงเนื่องจากจำนวนผู้ขายมากขึ้น ทำให้ต้องซื้อที่ราคาที่ตนไม่ประสงค์
แม้อุปสงค์และอุปทานทั่วโลกส่งผลอย่างมากต่อการกำหนดราคาสินทรัพย์ แต่การกำหนดราคาตลาดมาจากราคาสินทรัพย์และไม่ขึ้นอยู่กับอุปสงค์หรืออุปทานของผลิตภัณฑ์
ตัวอย่างของปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์มีดังนี้
- ข่าว: ข้อมูลในแง่ลบของแต่ละประเทศลดมูลค่าสกุลเงินประเทศนั้นลง ในทางกลับกัน ข้อมูลในแง่บวกอาจเพิ่มมูลค่าได้
- นโยบายของธนาคารกลาง: การกำหนดอัตราดอกเบี้ยและคำแถลงของธนาคารกลาง
- รายงานจากองค์กร: บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะเผยแพร่ผลประกอบการทางการเงินเป็นระยะ รายงานเหล่านี้อาจมีผลอย่างมากต่อราคาหุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากตัวเลขเหล่านี้ต่างไปจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้อย่างมาก
- ข้อมูลของรัฐบาล: ซึ่งถึงรวมอัตราการว่างงาน ระดับเงินเฟ้อ และรายงานดุลการค้า นักลงทุนในตลาดล้วนติดตามรายงานเหล่านี้และความคิดเห็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินด้วย
ตัวแปรหลักในตลาดการเงินคือ ธนาคารรายใหญ่ เช่น UBS Deutsche Bank JPMorgan Chase Citibank และ Goldman Sachs ซึ่งทำธุรกรรมรายวันจำนวนมากในสกุลเงินต่างประเทศและอนุพันธ์ของ FX เพื่อประโยชน์ของตนเองและตามคำขอของลูกค้า (เช่น บริษัท รัฐบาล กองทุนป้องกันความเสี่ยง และนักลงทุนเอกชนรายใหญ่)
รัฐบาลและธนาคารกลาง: เช่น ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางสหรัฐฯ ธนาคารแห่งญี่ปุ่น และธนาคารแห่งอังกฤษ ซึ่งมีหน้าที่บริหารอัตราสกุลเงินและควบคุมการดำเนินการของธนาคารอื่นๆ ในตลาด
ธนาคารขนาดเล็ก บริษัทการค้า และกองทุนป้องกันความเสี่ยง: มีส่วนร่วมในการขายผลิตภัณฑ์ และแลกเปลี่ยนสกุล (และอาจมีส่วนร่วมในการซื้อขายเก็งกำไรด้วย)
บริษัทนายหน้า: เป็นตัวกลางระหว่างผู้ค้าเอกชนและตลาดการเงิน
คุณสามารถซื้อขายออนไลน์ด้วยบริการของโบรกเกอร์ออนไลน์
มาสรุปปัจจัยที่สำคัญที่สุดกัน:
- ตลาดการเงินประกอบด้วยผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งทำธุรกรรมได้ด้วยการแลกเปลี่ยนทางกายภาพหรือด้วยอนุพันธ์ OTC บนแพลตฟอร์มออนไลน์ซึ่งช่วยให้นักลงทุนเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาได้
- มีสินทรัพย์ต่างๆ ให้เลือก ซึ่งรวมถึง การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า หุ้น และดัชนีฟิวเจอร์ส เป็นต้น
- ผู้ค้าต้องทำการซื้อระหว่างที่ราคาสูงขึ้น และขายระหว่างที่ราคาลด ผู้ขายขาดทุนหากราคาซื้อขายวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์ไว้
- อุปทานและอุปสงค์มีอิทธิพลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของราคา ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลก็มี เช่น ข่าวการตลาด นโยบายของธนาคารกลาง ผลการดำเนินงานทางการเงิน และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจในระดับมหภาค
- ตลาดการเงินประกอบด้วย ธนาคารรายใหญ่ ธนาคารขนาดกลาง รัฐบาล ธนาคารขนาดเล็ก กองทุนป้องกันความเสี่ยง และบริษัทนายหน้า
ข้อมูลจาก Tradersthailand
การซื้อขายรวมถึงการซื้อสินทรัพย์ทางกายภาพหรืออนุพันธ์ทั้งในรูปแบบการแลกเปลี่ยนและการซื้อขายแบบ OTC ซึ่งทำให้ผู้เทรดจากทั่วทุกมุมโลกซื้อขายสกุลเงินและสินค้าต่างๆ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ การซื้อขายครอบคลุมสินทรัพย์ต่างๆ เช่น
- คู่สกุลเงิน (เช่นคุณจะซื้อยูโรเป็นดอลลาร์ก็ได้ด้วยตัวเลือก EUR / USD)
- หุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ (เช่น แอปเปิ้ล เฟซบุ๊ค โคคาโคล่า) - บริษัทพลังงาน (เช่น น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ) โลหะ (ทองเงิน ทองคำขาว เป็นต้น)
- ดัชนี (ดาวโจนส์ Dax เอสแอนด์พี 500 เป็นต้น)
- สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อจัดหาผลิตภัณฑ์ในอนาคต (ฝ้าย ถั่วเหลือง ข้าวสาลี เป็นต้น)
ผู้ค้า (ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ) ทำธุรกรรมด้วยกันเอง โดยประมาณ 85% เป็นนักเทรดประเภทเก็งกำไร ที่ไม่ต้องการน้ำมันดิบหรือข้าวสาลี เพราะแสวงหาผลกำไรจากการขึ้นหรือลงของราคาสินทรัพย์
นักลงทุนใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการซื้อขาย เช่น Metatrader (MT4, MT5) หรือ cTrader ซึ่งแสดงราคาจริง คำสั่งซื้อต่างๆ และเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์
หากผู้เทรดมั่นใจว่าราคาตราสารจะเพิ่มขึ้น ก็จะทำการซื้อ โดยหวังกำไรในขณะที่ราคาสูงขึ้น และทำการปิดการซื้อขายเพื่อทำกำไร
หากคาดว่าราคาจะตกลง นักเทรดจะ “ขาย” เพื่อหวังทำกำไรขณะที่ราคาตกลง นักเทรดจะขาดทุนหากราคาขายไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์ไว้
หากปิดการขายแล้ว บัญชีจะแสดงยอดกำไรหรือขาดทุน
ราคา (ใบเสนอราคา) ของตราสารเปลี่ยนแปลงตลอด อาจจะทุกๆ วินาที ซึ่งสะท้อนถึงอุปสงค์และอุปทานทั่วโลกของผลิตภัณฑ์หนึ่งๆ เมื่อมีผู้คนจำนวนมากในตลาดที่ต้องการซื้อสินทรัพย์ (เช่น สกุลเงิน หุ้น หรือโลหะ) อุปสงค์จะเพิ่ม
หากอุปสงค์เพิ่ม ราคาจะปรับตัวขึ้นเพราะว่านักลงทุนสนใจที่จะเปิดตำแหน่งซื้อ จึงยอมซื้อขณะที่ราคาสูง
ในทางกลับกัน หากอุปสงค์ต่ำลง ราคาเฉลี่ยของสินค้าจะลดลงเนื่องจากจำนวนผู้ขายมากขึ้น ทำให้ต้องซื้อที่ราคาที่ตนไม่ประสงค์
แม้อุปสงค์และอุปทานทั่วโลกส่งผลอย่างมากต่อการกำหนดราคาสินทรัพย์ แต่การกำหนดราคาตลาดมาจากราคาสินทรัพย์และไม่ขึ้นอยู่กับอุปสงค์หรืออุปทานของผลิตภัณฑ์
ตัวอย่างของปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์มีดังนี้
- ข่าว: ข้อมูลในแง่ลบของแต่ละประเทศลดมูลค่าสกุลเงินประเทศนั้นลง ในทางกลับกัน ข้อมูลในแง่บวกอาจเพิ่มมูลค่าได้
- นโยบายของธนาคารกลาง: การกำหนดอัตราดอกเบี้ยและคำแถลงของธนาคารกลาง
- รายงานจากองค์กร: บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะเผยแพร่ผลประกอบการทางการเงินเป็นระยะ รายงานเหล่านี้อาจมีผลอย่างมากต่อราคาหุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากตัวเลขเหล่านี้ต่างไปจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้อย่างมาก
- ข้อมูลของรัฐบาล: ซึ่งถึงรวมอัตราการว่างงาน ระดับเงินเฟ้อ และรายงานดุลการค้า นักลงทุนในตลาดล้วนติดตามรายงานเหล่านี้และความคิดเห็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินด้วย
ตัวแปรหลักในตลาดการเงินคือ ธนาคารรายใหญ่ เช่น UBS Deutsche Bank JPMorgan Chase Citibank และ Goldman Sachs ซึ่งทำธุรกรรมรายวันจำนวนมากในสกุลเงินต่างประเทศและอนุพันธ์ของ FX เพื่อประโยชน์ของตนเองและตามคำขอของลูกค้า (เช่น บริษัท รัฐบาล กองทุนป้องกันความเสี่ยง และนักลงทุนเอกชนรายใหญ่)
รัฐบาลและธนาคารกลาง: เช่น ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางสหรัฐฯ ธนาคารแห่งญี่ปุ่น และธนาคารแห่งอังกฤษ ซึ่งมีหน้าที่บริหารอัตราสกุลเงินและควบคุมการดำเนินการของธนาคารอื่นๆ ในตลาด
ธนาคารขนาดเล็ก บริษัทการค้า และกองทุนป้องกันความเสี่ยง: มีส่วนร่วมในการขายผลิตภัณฑ์ และแลกเปลี่ยนสกุล (และอาจมีส่วนร่วมในการซื้อขายเก็งกำไรด้วย)
บริษัทนายหน้า: เป็นตัวกลางระหว่างผู้ค้าเอกชนและตลาดการเงิน
คุณสามารถซื้อขายออนไลน์ด้วยบริการของโบรกเกอร์ออนไลน์
มาสรุปปัจจัยที่สำคัญที่สุดกัน:
- ตลาดการเงินประกอบด้วยผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งทำธุรกรรมได้ด้วยการแลกเปลี่ยนทางกายภาพหรือด้วยอนุพันธ์ OTC บนแพลตฟอร์มออนไลน์ซึ่งช่วยให้นักลงทุนเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาได้
- มีสินทรัพย์ต่างๆ ให้เลือก ซึ่งรวมถึง การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โลหะมีค่า หุ้น และดัชนีฟิวเจอร์ส เป็นต้น
- ผู้ค้าต้องทำการซื้อระหว่างที่ราคาสูงขึ้น และขายระหว่างที่ราคาลด ผู้ขายขาดทุนหากราคาซื้อขายวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์ไว้
- อุปทานและอุปสงค์มีอิทธิพลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของราคา ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลก็มี เช่น ข่าวการตลาด นโยบายของธนาคารกลาง ผลการดำเนินงานทางการเงิน และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจในระดับมหภาค
- ตลาดการเงินประกอบด้วย ธนาคารรายใหญ่ ธนาคารขนาดกลาง รัฐบาล ธนาคารขนาดเล็ก กองทุนป้องกันความเสี่ยง และบริษัทนายหน้า
ข้อมูลจาก Tradersthailand
