ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 4 ต.ค.64 ปิด 1,614.48 จุด บวก 9.31 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 78,693.93 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,035.38 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด KBANK ปิด 137บาท บวก 2.50 บาท, AOT ปิด 62.75 บาท บวก 1.50 บาท, GULF ปิด 43.25 บาท BANPU ปิด 13.40 บาท บวก 0.40 บาท, BBL ปิด 116.50 บาท บวก 1 บาท
ตลาดหุ้นไทยสดใสตามตลาดหุ้นสหรัฐฯหลังตัวเลขภาคการผลิตและการใช้จ่ายดีกว่าตลาดคาด ขณะที่ยาต้านไวรัสโควิด-19 “Molnu piravir” ของบริษัท Merck อยู่ระหว่างการยื่นขอการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ (FDA) เป็นข่าวดีต่อตลาด เพราะหากได้รับการอนุมัติเร็วจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ เกี่ยวกับวิกฤติโรคระบาดในครั้งนี้ หุ้นเด่นรอบนี้ยังคงเป็นกลุ่มพลังงานที่ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น PTT, PTTEP และหุ้นเปิดเมือง เช่น AOT หุ้นโรงแรม เช่น MINT รวมถึงหุ้นกลุ่มแบงก์ เช่น KBANK, SCB
ขณะที่สถานการณ์โควิดในประเทศเริ่มดีขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตลดลง การฉีดวัคซีนดีขึ้น ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามคือ ผลการประชุมโอเปกพลัส ว่าจะปรับแผนกำลังการผลิตน้ำมันหรือไม่ จากเดิมในเดือนพ.ย. กลุ่มโอเปกจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 4 แสนบาร์เรลต่อวัน รวมถึงตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯและอัตราการจ้างงาน
บล.เอเซียพลัสประเมินแนวโน้มตลาดระยะสั้นขึ้นกับผลการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสที่อาจทำให้ดัชนีผันผวน ด้านเทคนิคประเมินกรอบ
แนวรับของดัชนีไว้ที่ 1,600 จุด แนวต้าน 1,630 จุด แนะกลยุทธ์ เน้นลงทุนหุ้นเปิดเมือง ที่ Valuation ยังไม่แพง เช่น KBANK, SCB, MINT
ขณะที่หุ้นท่องเที่ยว มี Sentiment บวกเพิ่มเติมจากกรณีที่ Merck อยู่ระหว่างขออนุมัติจาก FDA สำหรับยา Molnupiravir เอเซียพลัสเชื่อว่ามีโอกาสเป็น Game changer ของการระบาด COVID–19 เนื่องจากช่วยลดความเสี่ยงในการเข้ารักษาในโรงพยาบาลและเสียชีวิต ลดการเกิด Lock down และสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิตให้กับประชาชนมากขึ้น โดยราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวในต่างประเทศก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าวนี้
สำหรับ Top pick กลุ่มท่องเที่ยว เลือก MINT (FV2564@B34, 2565@B36) ตามการท่องเที่ยวในยุโรปที่ฟื้นตัวเร็วกว่าไทย อีกทั้งการกระจายของยารักษา COVID-19 น่าจะเริ่มในกลุ่มประเทศพัฒนาก่อน ตามด้วย CENTEL (FV@B37) จากงบดุลความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มฯ
แหล่งข่าว หุ้นพลังงาน-ท่องเที่ยว, ไทยรัฐ, 05 ต.ค. 2564