ดัชนีหลักในวอลล์สตรีทและบอนด์ยีลด์ของสหรัฐเพิ่มขึ้นในวันพุธหลังจากเฟดขึ้นดอกเบี้ยนโยบายและเผยแผนเชิงรุกเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ พร้อมคาดว่าจะเริ่มคลายการถือครองพันธบัตรรัฐบาลและหลักทรัพย์ค้ำประกัน
Ryan Detrick หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดของ LPL Financial ใน North Carolina กล่าวว่า "เฟดเพิ่มอัตราตามที่คาดการณ์ไว้ พร้อมคาดการณ์ GDP จะลดลงในปีนี้ และยกระดับการคาดการณ์เงินเฟ้อ แต่ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ"
พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีแตะระดับ 2.246% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2019 ก่อนที่จะถอยกลับมาที่ 2.192% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีเพิ่มขึ้นเป็น 2.002% ทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนราบเรียบต่อไป
ดัชนีดาวโจนส์ S&P 500 และ Nasdaq ต่างปิดในแดนบวกหลังซื้อขายอย่างผันผวนตามการเคลื่อนไหวของธนาคารกลาง
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 1.55% เป็น 34,063.1 ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 2.24% เป็น 4,357.86 และ Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 3.77% เป็น 13,436.55
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 3% นับตั้งแต่เริ่มสงครามรัสเซีย-ยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ และ 10% ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ลดลงมากถึง 0.6% ในวันพุธ
หุ้นยุโรปปิดที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ เนื่องจากการพูดคุยประนีประนอมในความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนได้กระตุ้นความเชื่อมั่นของตลาด เช่นเดียวกับที่จีนสัญญาว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ดัชนี STOXX 600 ทั่วยุโรปเพิ่มขึ้น 3.06% ขณะ ดัชนี MSCI หุ้นโลกเพิ่มขึ้น 2.76%
น้ำมันร่วงลงครั้งที่ห้าในช่วงหกวันที่ผ่านมาเนื่องจากผู้ค้าตอบสนองต่อความหวังในการเจรจาสันติภาพรัสเซีย – ยูเครนและการเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมันของสหรัฐ เบรนต์ดัชนีอ้างอิงปิดที่ 98.02 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 1.9% ขณะที่ WTI ลดลง 1.5% ที่ 95.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทองคำดีดตัวขึ้นหลังจากร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่าสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ในเซสชั่น โดยเพิ่มขึ้น 0.5% ที่ 1,926.57 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำล่วงหน้าของสหรัฐลดลง 1.02% สู่ระดับ 1,908.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แหล่งข่าว Wall Street stocks, U.S. yields rise after Fed rate hike โดย Reuters
แปลโดยทีม TradersThailand
