การประชุมล่าสุด (20-21 ก.ย.) เฟดยังขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ตรงกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยขยับขึ้นสู่ระดับ 3.00-3.25% สูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตซับไพรม์
แต่สิ่งที่สร้างเซอร์ไพรส์รอบนี้ คือ การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เนื่องจากเจ้าหน้าที่เฟดได้ปรับเพิ่มมุมมองอัตราดอกเบี้ยในช่วงสิ้นปี 2565 เป็น 4.4% และ 4.6% ในสิ้นปี 2566 จากเดิมคาดว่าดอกเบี้ยสิ้นปี 2565 จะอยู่ที่ 3.4% และ 3.8% ในปี 2566
ดังนั้น หากยึดตัวเลข Dot Plot ล่าสุดที่ 4.4% เท่ากับว่ามีโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% เป็นครั้งที่ 4 ในการประชุมนัดถัดไป 2 พ.ย. นี้ และขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50% ในการประชุมครั้งสุดท้ายของปี ซึ่งดูจากสัญญาณที่ออกมาแล้ว ดอกเบี้ยจะสูงแบบนี้ไปอีกสักระยะ โดยเจ้าหน้าที่เฟดมองว่าจะยังไม่มีการลดดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567
ขณะที่ประธานเฟด “เจอโรม พาวเวล” ย้ำว่า เฟดยังจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อจัดการเงินเฟ้อ แม้การขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน แต่ก็ต้องทำเพื่อดึงเงินเฟ้อลงมาสู่กรอบเป้าหมายที่ 2% ให้ได้
การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในรอบล่าสุดนี้ ยิ่งทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐห่างออกไปอีก 2.25-2.50% และถ้าสิ้นปีดอกเบี้ยเฟดเป็นไปตาม Dot Plot ที่ 4.4% ขณะที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่เหลืออีกเพียง 2 ครั้ง หาก กนง. ขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% จะทำให้อัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 1.25% ซึ่งหากไปเทียบกับสหรัฐ ส่วนต่างดอกเบี้ยจะยิ่งกว้างขึ้นเป็น 3.15% กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าขึ้นไปอีก
แหล่งข่าว หุ้นไทยจะไปทางไหน? หลังแบงก์ชาติจ่อขึ้นดอกเบี้ยแรง-สกัดบาทอ่อน, bangkokbiznews, 25 ก.ย. 2565