บล.กสิกรฯออกบทวิเคราะห์ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดวงเงินโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หรือ การทำ QE Tapering ในปีนี้ ว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อหุ้นโลกและตลาดหุ้นไทยเหมือนกับการทำ QE Tapering เมื่อปี 56 ประเมินว่า การส่งสัญญาณ QE Tapering จะเกิดขึ้นภายในปีนี้และคาดว่าจะเริ่มทำ Taper จริงๆสิ้นปีนี้หรือไม่ก็ต้นปีหน้า
คาดการ Tapering ครั้งนี้ จะไม่กระทบต่อตลาดหุ้นโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยเหมือนครั้งก่อนในปี 56 จากการศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นปี 56 พบว่าวันที่ 22 พ.ค.56 ซึ่งเป็นวันที่ Ben Bernanke ประธานเฟด ขณะนั้นออกมาส่งสัญญาณลดขนาดการเข้าซื้อสินทรัพย์เป็นครั้งแรก
ส่งผลให้เกิดความผันผวนต่อสินทรัพย์ทั่วโลก กระทบหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (-7%) และหุ้นตลาดเกิดใหม่ (-9%), ราคาทอง (-7%) Bond yield สหรัฐฯปรับตัวขึ้น 50 bps ภายใน 1 เดือน หลังเฟดส่งสัญญาณ โดยหุ้นประเทศพัฒนาแล้วฟื้นตัวได้เร็วกว่ากลุ่มหุ้นตลาดเกิดใหม่
และเหตุการณ์วันที่เฟดประกาศเริ่มทำ Taper จริงๆ 18 ธ.ค.56 กลับพบว่าราคาสินทรัพย์ต่างๆไม่ได้ตอบสนองเชิงลบ ตลาดหุ้นทั่วโลก, ตลาดตราสารหนี้และทองคำ ต่างปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แสดงถึงตลาดได้รับรู้ปัจจัยดังกล่าวไปแล้ว หากเทียบปัจจุบันพบความแตกต่าง คือการสื่อสารของเฟดที่ทำได้ดีขึ้นและตลาดรับรู้ความเสี่ยงนี้ไปแล้ว หากทำจริง คาดว่าระดับความผันผวนของสินทรัพย์โดยรวมทั่วโลกจะไม่รุนแรงมากเท่าครั้งปี 56
ด้านตลาดเกิดใหม่รอบนี้มีปัจจัยพื้นฐานดีขึ้นกว่าปี 56 ทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลและเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งมากขึ้น จึงคาดว่ากระแสเงินทุนไหลออกจะไม่มากเหมือนครั้งก่อน
ตลาดหุ้นไทยมีมุมมองสอดคล้องกับตลาดเกิดใหม่ QE Tapering จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัย เนื่องจากต่างชาติถือสัดส่วนหุ้นไทยต่ำเพียง 28% ต่ำสุดในรอบ 10 ปีและต่ำกว่าปี 56 ที่ 37% ,ภาพรวมตลาดที่แตกต่างกันชัดเจนในปี 55-56 หุ้นไทยขึ้นต่อเนื่อง SET +44% 12 เดือนก่อนส่งสัญญาณ Tapering พอเจอข่าวร้ายจึงผันผวนสูง
เทียบกับปัจจุบันที่ sentiment ตลาดไม่ค่อยดีและถูกกดดันอยู่แล้วจากโควิดในประเทศ จึงมองว่า QE tapering จะไม่สร้าง downside ต่อตลาดอย่างมีนัย ขณะที่สถานการณ์โควิดในประเทศจะเป็นตัวขับเคลื่อนทิศทางตลาดหุ้นไทยมากกว่า
แหล่งข่าว หุ้นไทยไม่หวั่นเฟดลด QE!!, ไทยรัฐ, 27 ส.ค. 2564