นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังรัฐบาลประกาศเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.2564 เป็นต้นไป และล่าสุดประกาศลดพื้นที่สีแดงเข้มเหลือ 7 จังหวัด คาดว่าจะเห็นมาตรการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อหลังจากนี้อาจขยับขึ้น แต่คาดว่าประเทศไทยจะไม่กลับไปสู่จุดที่ต้องล็อกดาวน์อีกครั้ง เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับการลงทุน แม้เป็นปัจจัยบวกที่ตลาดหุ้นรับรู้ไปแล้ว แต่หุ้นหลายตัวยังมีโอกาสปรับขึ้น เพราะราคาหุ้นยังไม่กลับไปสู่จุดเดิมก่อนเกิดโควิด-19 โดยกลุ่มหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ กลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (กองรีท) โดยคาดหวังอัตราค่าเช่ากลับเข้าสู่ระดับปกติ ขณะที่ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันยังปรับขึ้นช้ากว่าตลาด เช่นเดียวกับราคาหุ้นในช่วง 2 ปีย้อนหลัง ยังปรับขึ้นช้ากว่าจลาดเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ แนะนำซื้อผ่านกองทุนรวมที่มีการกระจายลงทุน โดยให้น้ำหนัก 5-10% ในพอร์ตรวม
ถัดมาแนะนำหุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ แต่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าก่อนเกิดโควิด-19 ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก-ห้างสรรสินค้า CPALL และ HMPRO ส่วนกลุ่มขนส่ง AOT BTS และ BEM โดยคาดหวังจำนวนนักท่องเที่ยวจะทยอยฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.เป็นต้นไป
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยยังคงมุมมองเดิมว่า การฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มเปิดเมืองจะเป็นไปอย่างไม่พร้อมเพรียงกัน เพราะพัฒนาเชิงบวกในแต่ละอุตสาหกรรมมีความแตกต่างกัน โดยคาดว่ากลุ่มหุ้นที่ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างประเทศสูง เช่น กลุ่มโรงแรม จะกลับมาทำกำไรช้ากว่ากลุ่มหุ้นที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่ำ
สำหรับการลงทุนในกลุ่มหลัง แนะนำหุ้นเด่น ได้แก่ กลุ่มห้างสรรพสินค้า CPN และ CRC คาดว่าจะได้ปัจจัยหนุนจากกำลังซื้อของประชาชนในไตรมาส 4 ปี 2564 ซึ่งส่วนหนึ่งหันมาจับจ่ายใช้สอยในห้างสรรพสินค้าแทนการท่องเที่ยวในต่างประเทศ ถัดมาแนะนำกลุ่มธนาคาร KBANK BBL และ SCB ได้ประโยชน์จากคุณภาพลูกหนี้ที่คาดว่าจะทยอยดีขึ้นตามลำดับ สุดท้ายแนะนำกลุ่มโรงกลั่นและปั๊มน้ำมัน TOP BCP และ PTG ได้ประโยชน์จากการเดินทางที่เพิ่มขึ้น
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นรับรู้ปัจจัยการเปิดประเทศไปพอสมควรแล้ว แต่ปัจจัยที่ต้องติดตามหลังจากนี้ ได้แก่ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศ จำนวนผู้ติดเชื้อภายหลังเปิดประเทศ และนโยบายของภาครัฐในกรณีที่ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น
ขณะที่การลงทุน พบว่า หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคในประเทศ ราคาหุ้นปรับขึ้นไปมากแล้ว จึงเลือกหุ้นที่ราคายังมีโอกาสปรับขึ้น (อัพไซด์) โดยเทียบจากระดับราคาปัจจุบัน และราคาเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ โดยหุ้นเด่น ได้แก่ CPALL และ CRC
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (1-5 พ.ย.) คาดว่าเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,610-1,640 จุด เนื่องจากถูกกดดันจากการประกาศกำไรไตรมาส 3 ปี 2564 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งหุ้นขนาดใหญ่ในภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) กำไรออกมาต่ำกว่าคาด เช่น DTAC SCC SCGP และ PTTEP รวมถึงถูกกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการประชุมโอเปก
แหล่งข่าว โบรกคัด "หุ้นเด่น" ลุ้นราคาวิ่ง รับเปิดประเทศ 1 พ.ย.64, bangkokbiznews, 31 ต.ค. 2564