นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นร้อนแรง แม้จะส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานต้นน้ำ แต่กลับส่งผลลบต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานกลางน้ำและปลายน้ำ รวมถึงกลุ่มปิโตรเคมี เพราะได้รับผลกระทบเชิงลบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่ากำไรจากสต็อกน้ำมัน (Stock Gain) จะไม่สามารถชดเชยต้นทุนที่ปรับขึ้นได้
นอกจากนี้ ต้นทุนราคาน้ำมันยังมีสัดส่วนสูงถึง 15-20% ของต้นทุนบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด จึงคาดว่าราคาน้ำมันที่ทรงตัวสูงจะเป็นผลลบต่อผลการดำเนินงานของ บจ.ในปี 2565
เบื้องต้น ฝ่ายวิจัยจัดทำค่าความอ่อนไหว (Sensitivity) โดยพบว่าการปรับขึ้นของราคาน้ำมันทุกๆ 10 ดอลลาร์ จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) 0.1% และจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อกำไร บจ. 2-3% ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ณ 9 มี.ค.65) ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวเฉลี่ยที่ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (น้ำมันดิบเบรนท์) สูงกว่าสมมติฐานเดิมที่คาดการณ์ไว้เพียง 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ประกอบกับทิศทางราคาน้ำมันที่ยังมีแนวโน้มทรงตัวสูงต่อเนื่อง จึงคาดว่าสมมติฐานราคาน้ำมันดิบปี 2565 จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็นลบต่อคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) 9-11% จากเดิมคาดว่า EPS ปีนี้จะอยู่ที่ 92.00 บาทต่อหุ้น คาดว่าจะลดลงเหลือ 85.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะกดดันให้ดัชนี SET (SET Index) ลดลงไปเคลื่อนที่ระดับ 1,525-1,575 จุด
แหล่งข่าว โบรกจ่อหั่นเป้ากำไรบจ.ปี 65 เซ่นพิษราคาน้ำมันดิบพุ่งสูง, bangkokbiznews, 10 มี.ค. 2565