4 ความเสี่ยงเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องจับตามองหลังจากนี้

WealthUp

Moderator
Staff member
Optimized-12.jpg .​

ข้อมูลจากบทวิเคราะห์ของ JPMorgan ระบุว่า GDP เฉลี่ยในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในปีนี้ เติบโตมากถึง 6% โดยมาจากเอเชียเป็นหลัก ได้แก่ อินเดีย และหลายประเทศในอาเซียน

โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

ถ้าหากเป็นกรณีเลวร้ายสุด มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจโลก อาจต้องกลับมาเหมือนกับช่วงปี 2020-21 อีกครั้งครับ และนั่นอาจสร้างผลกระทบกับเศรษฐกิจกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาได้อย่างมาก เพราะว่าหลายประเทศ มีอัตราการฉีดวัคซีนอยู่ที่ราว 30-60% ของจำนวนประชากร อาจต้องมีการสั่งซื้อวัคซีนชุดใหม่ ในกรณีที่วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถป้องกันได้

นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนที่น่ากังวลนี้ยังเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ ทางเศรษฐกิจ ที่ผมจะกล่าวถึงภายหลัง อย่างไรก็ดี เราจะทราบว่าสายพันธุ์โอมิครอนมีความร้ายกาจแค่ไหนในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้านี้ ซึ่งเราน่าจะมีข้อมูลที่มากขึ้นกว่าปัจจุบันครับ


เงินเฟ้อ

จากคาดการณ์ของหลายสถาบันการเงิน หรือแม้แต่ผู้จัดการกองทุนที่อยู่ในผลสำรวจของ Bank of America Global Fund Manager Survey ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ต่างมองว่าเงินเฟ้อนั้นอาจเป็นแค่เรื่องชั่วคราว ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

สาเหตุสำคัญก็คือความต้องการสินค้าและบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นหลังจากการเปิดเมือง และธุรกิจต่างๆ กลับมาเดินหน้าอีกครั้ง ความต้องการสินค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน

อย่างไรก็ดี สินค้าต่างๆ ก็กลับผลิตได้ไม่ทันความต้องการ เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนพลังงานในประเทศจีน ทำให้ภาคการผลิตในประเทศจีนประสบปัญหา ส่งผลต่อซัพพลายเชนทั่วโลกทันที ทำให้สินค้าหลายชนิดผลิตไม่ทัน หรือไม่ก็ผลิตได้จำนวนที่ลดลง แต่ความต้องการสินค้าที่สูง ส่งผลทำให้เกิดเงินเฟ้อขึ้นมา

พญามังกรและเศรษฐกิจพวกเขา

ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ทำให้จีนที่มีนโยบาย Zero Tolerance กล่าวคือ จีนจะไม่อดทนกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และตั้งใจที่จะทำให้ในประเทศมีผู้ติดเชื้อเป็น 0 เท่านั้น

นอกจากนี้ จากงานวิจัยของนักวิจัยจีนได้คำนวณว่าถ้าหากจีนเปิดเศรษฐกิจให้กลับมาเป็นปกติเหมือนกับประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐฯ หรือในสหภาพยุโรป จะทำให้จีนมีผู้ติดเชื้อมากถึงหลักแสนรายต่อวัน ยิ่งทำให้เราเห็นโอกาสที่ประเทศจีนจะเปิดประเทศในปี 2022 ในช่วงครึ่งปีแรกยากมากๆ และจีนยังยืนยันที่จะใช้นโยบายนี้ต่อไปด้วย แถมยังให้เหตุผลอีกว่านโยบายนี้เมื่อเทียบกับต้นทุนทางเศรษฐกิจแล้วยังถือว่าคุ้มค่า

นั่นทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา กลับมามีเมฆหมอกปกคลุมอีกครั้ง เนื่องจากนโยบายโควิดของจีนเองได้สร้างผลกระทบไม่ว่าจะเป็น ภาคการผลิตของจีนที่มีการหยุดชะงักจากกรณีพลังงานขาดแคลน ที่ได้กล่าวไปข้างต้น รวมถึงจากนโยบายของจีนเอง ซึ่งเราจะเห็นจากกรณีท่าเรือใหญ่ของจีนเองมีการหยุดชะงักหลายครั้ง ส่งผลต่อซัพพลายเชนทั่วโลก

อย่างไรก็ดี ยังมีความหวังเล็กๆ ว่า จีนอาจเปิดประเทศ และเศรษฐกิจของจีนอาจกลับมาดำเนินได้ปกติอีกครั้งในช่วงของการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวในช่วงปลายปีครับ

นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ

หลังจากที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นมาได้พักใหญ่ และอัตราการจ้างงานที่กลับเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น จนปัจจุบันนั้นอัตราการว่างงานในสหรัฐฯ ต่ำกว่า 5% ไปแล้ว และ GDP นับตั้งแต่ไตรมาส 1 เป็นต้นมาก็เป็นไปตามที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มองไว้ แม้จะยังมีความกังวลในเรื่องการฟื้นตัวในหลายภาคส่วนของธุรกิจ เช่น ภาคการบริการหรือภาคการท่องเที่ยวก็ตาม

แต่ความร้อนแรงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่บนนโยบายที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ใช้มาตรการทางการเงินแบบผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงการเข้าซื้อตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์จำนองค้ำประกัน (MBS) โดยรวมแล้วเป็นมูลค่ามากถึงเดือนละ 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ก็ยังอยู่ในระดับต่ำที่ราวๆ 0.25% ถ้าหากธนาคารกลางสหรัฐฯ จะผ่อนเครื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ลดความร้อนแรงลง และลดปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจะต้องค่อยๆ ลดการใช้มาตรการทางการเงินแบบผ่อนคลายในแต่ละเดือนลง นั่นก็คือลดการซื้อสินทรัพย์ต่างๆ เช่นเดียวกับการต้องเตรียมที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกต่างหากด้วย

ในบทวิเคราะห์ของ Goldman Sachs เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมามองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2022 ถึง 3 ครั้งเลยทีเดียว โดยจะเริ่มในช่วงครึ่งหลังของปีเป็นต้นไป และนั่นจะทำให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในปีหน้าจะอยู่ที่ราว 1% ซึ่งหมายความว่า ถ้าหากธนาคารกลางในประเทศกลุ่มกำลังพัฒนา รวมถึงไทยด้วย ถ้าหากยังใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำอยู่ ก็จะมีสิทธิ์ที่เม็ดเงินอาจไหลออกจากกลุ่มประเทศเหล่านี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และไหลกลับไปยังสหรัฐฯ ที่อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า คล้ายกับกรณีนี้ในช่วงปี 2013-14 ส่งผลทำให้ตลาดหุ้นของประเทศกลุ่มกำลังพัฒนาตกลงนั่นเอง

การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเอง อาจเป็นจุดตัดสินใจที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงการใช้มาตรการทางการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปอีกสักพัก นั่นจะแปลว่าจะเป็นการต่อลมหายใจให้กับเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนา ที่จะไม่โดนดึงเม็ดเงินกลับไปยังสหรัฐอเมริกา

สำหรับ 4 ปัจจัยที่ได้กล่าวไปนั้น จะมีผลต่อเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอย่างมากในช่วงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งในกรณีที่ดีสุดคือสายพันธุ์โอมิครอนไม่ได้ดื้อวัคซีน อาจส่งผลดีต่อเศรษฐกิจซึ่งรวมถึงเศรษฐกิจไทยด้วยครับ แต่ถ้าหากเป็นกรณีแย่สุดก็อาจทำให้เศรษฐกิจกลับมาถอยหลังอีกรอบ

จากการคาดการณ์ล่าสุดของ JPMorgan เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในปี 2022 จะโตที่ 4.5% เศรษฐกิจจีนโตที่ 4.7% มาเลเซีย 9.6% อินโดนีเซีย 4.9% ฟิลิปปินส์ 12.8% และไทยที่ 3.6%

แหล่งข่าว 4 ความเสี่ยงเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องจับตามองหลังจากนี้, ไทยรัฐ, 12 ธ.ค. 2564
 

Members online

No members online now.

Forum statistics

Threads
12,180
Messages
12,435
Members
319
Latest member
SEO01

สนับสนุนโดย

Top