“จีซี” หวังยอดขายปี 64 โตกว่า 8-10% ตามกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ราคาผลิตภัณฑ์หนุน คาดครึ่งปีแรกสรุปตัดสินใจลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์สหรัฐหรือไม่ ลุ้นปิดดีล M&A ภายในปีนี้ หลังเจรจาหลายโครงการ
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า บริษัทฯ คงเป้าหมายยอดขายปีนี้ เติบโต 8-10% จากปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากทั้ง 3 โครงการ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทยอยเปิดเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปลายปี2563 ถึงต้นปี 2564 ได้แก่
1.โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) เป็นการขยายกำลังการผลิตผ่านการลงทุนในแนฟทา แครกเกอร์ (Naphtha Cracker) เพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบของบริษัทฯ และต่อยอดธุรกิจปลายน้ำในอนาคตด้วยกำลังการผลิตเอทิลีน 500,000 ตัน และโพรพิลีน 250,000 ตัน มูลค่าโครงการประมาณ 36,000 ล้านบาท
2.โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide O)
3.โครงการโพลีออลส์ (Polyols) เพื่อผลิตโพรพิลีนออกไซด์ (PO) 200,000 ตันต่อปี และผลิตภัณฑ์โพลีออลส์ 130,000 ตันต่อปี มีมูลค่าโครงการ 34,000 ล้านบาท
รวมถึงทิศทางราคาผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันฟื้นตัวจากไตรมาส 2-3 ปี 2563 โดยปีนี้ฟื้นตัวจากปีก่อนที่เป็นระดับราคาต่ำสุด โดยหากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น บวกกับราคาผลิตภัณฑ์ที่อาจปรับตัวสูงขึ้นมากก็มีโอกาสยอดขายปีนี้จะเติบโตเกิน 10% ได้ ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์เป้ารายไตรมาสต่อไป
“เป้าหมายใหญ่ในปีนี้ บริษัทยังคาดหวังจะปิดดีลการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) ให้ได้ หลังจากได้เข้าเจรจาในหลายโครงการทั้งแต่ปีที่ผ่านมาและคืบหน้าไปมาก แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ และการเจรจาต่อรองยังต้องใช้เวลาตัดสินใจรอบคอบ แต่บริษัทมีความพร้อมทั้งเงินสดในมือและมีความสามารถที่จะกู้เงินเพิ่ม”
ส่วนความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐ ยอมรับว่า ต้องชะลอการตัดสินใจลงทุนออกไปจากผลกระทบจากโควิด-19 และบริษัท Daelim Industrial Co., Ltd. ผู้ประกอบธุรกิจก่อสร้างและผลิตเคมีภัณฑ์ในเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรโครงการนี้ตัดสินใจถอนการลงทุน
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังเดินหน้าเจรจาพันธมิตรหลายรายใน 3 ทวีป อีกทั้งยังศึกษาและติดตามข้อมูลการลงทุนอยู่ในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบโควิด-19 ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวและการจ้างงานในระดับต่ำเป็นโอกาสที่จะเจรจาผู้รับเหมาเพื่อลดต้นทุนสร้างโรงงานให้ถูกลง โดยมูลค่าโครงการจะเป็นเท่าไหร่นั้น คาดว่าจะชัดเจนหลังจากเริ่มเจรจาผู้รับเหมา แต่ทั้งนี้ บริษัทฯ จะสรุปการตัดสินใจที่ชัดเจนอีกครั้งในปีนี้ ว่าจะลงทุนในโครงการนี้หรือไม่
สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบปี 2564 ที่ปรับสูงขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตปิโตรเคมีสูงขึ้น ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์สูงขึ้นเช่นกัน แต่มองว่าความต้องการใช้สินค้าปิโตรเคมียังถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ราคาขายผลิตภัณฑ์อาจสูงขึ้นไม่มาก
ขณะเดียวกันราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนผลิตของบริษัทฯ เพราะใช้วัตถุดิบหลักมาจากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย แต่หากราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเกิน 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ที่เป็นราคาปิดปลายปีที่ผ่านมา จะส่งผลให้บริษัทมีกำไรจากสต๊อกมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทิศทางการดำเนินงานบริษัทฯ ในปี 2564 ใช้นโยบาย “แข็งแกร่งจากภายใน สร้างโอกาสใหม่ยุค New Normal” ที่ขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์ 3 Steps เพื่อย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตโดยยึดหลักความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ดังนี้
1.Step Change กลยุทธ์การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน โดยสานต่อสร้างเสริมให้เข้มแข็งทั้งด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพการผลิต พร้อมยกระดับความสามารถในการแข่งขันโดยปรับปรุงหน่วยผลิตและโครงสร้างพื้นฐานให้ยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบ สามารถต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากการบริหารจัดการแบบองค์รวมจากโครงการ Map Ta Phut Integration และขยายตลาดสู่อาเซียน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในระดับภูมิภาค รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าสูง (High Value Products)
2.Step Out กลยุทธ์หาโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่หรือในต่างประเทศ โดยหาโอกาสการเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยการลงทุนในธุรกิจใหม่ในกลุ่ม High Value Business ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เติบโตและทำกำไรในระดับสูง โดยการเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A) รวมทั้งหาโอกาสทางธุรกิจใหม่โดยใช้ Corporate Venture Capital เพื่อขยายสู่ธุรกิจที่โดดเด่นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมก้าวไกลไประดับสากล และสานต่อการขยายฐานธุรกิจแห่งที่ 2
3.Step Up กลยุทธ์สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ ด้วยการเป็นต้นแบบองค์กรเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล มุ่งเน้นการดำเนินงานที่สอดคล้องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) สร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) โดยใช้หลัก GC Circular Living เป็นเครื่องมือสำคัญบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการน้ำอย่างครบวงจร และการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมทั้งปรับกระบวนการดำเนินงานด้าน CSR สู่การสร้างวิสาหกิจชุมชน Social Enterprise ร่วมกับชุมชน
แหล่งข่าว GC ลุ้นยอดขายปีนี้โตเกิน10% ลุย 3 สเต็ปผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ Bangkokbiznews, 18 กุมพาพัน 2564
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า บริษัทฯ คงเป้าหมายยอดขายปีนี้ เติบโต 8-10% จากปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากทั้ง 3 โครงการ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทยอยเปิดเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปลายปี2563 ถึงต้นปี 2564 ได้แก่
1.โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) เป็นการขยายกำลังการผลิตผ่านการลงทุนในแนฟทา แครกเกอร์ (Naphtha Cracker) เพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบของบริษัทฯ และต่อยอดธุรกิจปลายน้ำในอนาคตด้วยกำลังการผลิตเอทิลีน 500,000 ตัน และโพรพิลีน 250,000 ตัน มูลค่าโครงการประมาณ 36,000 ล้านบาท
2.โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide O)
3.โครงการโพลีออลส์ (Polyols) เพื่อผลิตโพรพิลีนออกไซด์ (PO) 200,000 ตันต่อปี และผลิตภัณฑ์โพลีออลส์ 130,000 ตันต่อปี มีมูลค่าโครงการ 34,000 ล้านบาท
รวมถึงทิศทางราคาผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันฟื้นตัวจากไตรมาส 2-3 ปี 2563 โดยปีนี้ฟื้นตัวจากปีก่อนที่เป็นระดับราคาต่ำสุด โดยหากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น บวกกับราคาผลิตภัณฑ์ที่อาจปรับตัวสูงขึ้นมากก็มีโอกาสยอดขายปีนี้จะเติบโตเกิน 10% ได้ ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์เป้ารายไตรมาสต่อไป
“เป้าหมายใหญ่ในปีนี้ บริษัทยังคาดหวังจะปิดดีลการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) ให้ได้ หลังจากได้เข้าเจรจาในหลายโครงการทั้งแต่ปีที่ผ่านมาและคืบหน้าไปมาก แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ และการเจรจาต่อรองยังต้องใช้เวลาตัดสินใจรอบคอบ แต่บริษัทมีความพร้อมทั้งเงินสดในมือและมีความสามารถที่จะกู้เงินเพิ่ม”
ส่วนความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐ ยอมรับว่า ต้องชะลอการตัดสินใจลงทุนออกไปจากผลกระทบจากโควิด-19 และบริษัท Daelim Industrial Co., Ltd. ผู้ประกอบธุรกิจก่อสร้างและผลิตเคมีภัณฑ์ในเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรโครงการนี้ตัดสินใจถอนการลงทุน
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังเดินหน้าเจรจาพันธมิตรหลายรายใน 3 ทวีป อีกทั้งยังศึกษาและติดตามข้อมูลการลงทุนอยู่ในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบโควิด-19 ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวและการจ้างงานในระดับต่ำเป็นโอกาสที่จะเจรจาผู้รับเหมาเพื่อลดต้นทุนสร้างโรงงานให้ถูกลง โดยมูลค่าโครงการจะเป็นเท่าไหร่นั้น คาดว่าจะชัดเจนหลังจากเริ่มเจรจาผู้รับเหมา แต่ทั้งนี้ บริษัทฯ จะสรุปการตัดสินใจที่ชัดเจนอีกครั้งในปีนี้ ว่าจะลงทุนในโครงการนี้หรือไม่
สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบปี 2564 ที่ปรับสูงขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตปิโตรเคมีสูงขึ้น ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์สูงขึ้นเช่นกัน แต่มองว่าความต้องการใช้สินค้าปิโตรเคมียังถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ราคาขายผลิตภัณฑ์อาจสูงขึ้นไม่มาก
ขณะเดียวกันราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนผลิตของบริษัทฯ เพราะใช้วัตถุดิบหลักมาจากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย แต่หากราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเกิน 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ที่เป็นราคาปิดปลายปีที่ผ่านมา จะส่งผลให้บริษัทมีกำไรจากสต๊อกมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทิศทางการดำเนินงานบริษัทฯ ในปี 2564 ใช้นโยบาย “แข็งแกร่งจากภายใน สร้างโอกาสใหม่ยุค New Normal” ที่ขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์ 3 Steps เพื่อย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตโดยยึดหลักความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ดังนี้
1.Step Change กลยุทธ์การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน โดยสานต่อสร้างเสริมให้เข้มแข็งทั้งด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพการผลิต พร้อมยกระดับความสามารถในการแข่งขันโดยปรับปรุงหน่วยผลิตและโครงสร้างพื้นฐานให้ยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบ สามารถต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากการบริหารจัดการแบบองค์รวมจากโครงการ Map Ta Phut Integration และขยายตลาดสู่อาเซียน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในระดับภูมิภาค รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าสูง (High Value Products)
2.Step Out กลยุทธ์หาโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่หรือในต่างประเทศ โดยหาโอกาสการเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยการลงทุนในธุรกิจใหม่ในกลุ่ม High Value Business ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เติบโตและทำกำไรในระดับสูง โดยการเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A) รวมทั้งหาโอกาสทางธุรกิจใหม่โดยใช้ Corporate Venture Capital เพื่อขยายสู่ธุรกิจที่โดดเด่นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมก้าวไกลไประดับสากล และสานต่อการขยายฐานธุรกิจแห่งที่ 2
3.Step Up กลยุทธ์สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ ด้วยการเป็นต้นแบบองค์กรเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล มุ่งเน้นการดำเนินงานที่สอดคล้องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) สร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) โดยใช้หลัก GC Circular Living เป็นเครื่องมือสำคัญบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการน้ำอย่างครบวงจร และการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมทั้งปรับกระบวนการดำเนินงานด้าน CSR สู่การสร้างวิสาหกิจชุมชน Social Enterprise ร่วมกับชุมชน
แหล่งข่าว GC ลุ้นยอดขายปีนี้โตเกิน10% ลุย 3 สเต็ปผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ Bangkokbiznews, 18 กุมพาพัน 2564