นางสาวปิติรัตน์ รัตนโชติ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้เป็นปัจจัยบวกต่อผลการดำเนินงานของบริษัทโดยรวม จากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) คาดจีดีพีปีนี้โต 3.5-4.5% เพราะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว แต่เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และสถานการณ์โควิดยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม
ทั้งนี้สถานการณ์สงครามรัสเซียกับยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ทำให้บริษัทมีความกังวลผลกระทบเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นปัจจัยกดดันต่อ “ธุรกิจไลฟ์สไตล์”สาเหตุจากอำนาจการซื้อของประชาชนลดลงและต้นทุนของโออาร์อาจต้องปรับเพิ่มขึ้น
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการติดตามสถานการณ์สงครามดังกล่าวและต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างใกล้ชิดว่า อาจจะมีการพิจารณาปรับปรุงราคาอย่างไรบ้างต่อไปในช่วงไตรมาส2 และไตรมาส 3ของปีนี้หรือไม่แต่ปัจจุบันไม่ได้เลวร้าย บริษัทยังรักษาระดับอิบิด้ามาร์จิ้นที่ยังสามารถคงราคาผลิตภัณฑ์ที่ระดับเดิมไว้ได้
ในส่วนราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์สงครามนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อ“ธุรกิจน้ำมัน”เพราะจริงๆ แล้วสามารถปรับราคาน้ำมันตามต้นทุนที่เพิ่มได้แต่รัฐบาลขอความร่วมมืิอให้ชะลอการปรับราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งบริษัทได้ปรับและพิจารณาตามราคาต้นทุนและค่าการตลาดที่มี ดังนั้นอาจจะเห็นค่าการตลาดอ่อนตัวลงบ้าง แต่ยังรักษาระดับอิบิด้ามาร์จิ้นและกำไรไว้ได้โดยกลุ่ม PTT คาดการณ์ราคาน้ำมันเฉลี่ยในปีนี้อยู่ที่ระดับ107 ดอลลาร์ตต่อบาร์เรล
นางสาวปิติรัตน์ กล่าวว่า ทางด้านงบลงทุนปีนี้วางไว้ราว26,900 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วน 68.3% สร้างการเติบโตจากภายนอกและสัดส่วน 31.7 % สร้างการเติบโตจากภายใน โดยเป็นงบลงทุนธุรกิจMobility จำนวน 9,000 ล้านบาท และธุรกิจLifestyle จำนวน 6,900 ล้านบาท ธุรกิจ Global จำนวน 4,300 ล้านบาท ธุรกิจ OR Innivation จำนวน 3,700 ล้านบาท และธุรกิจอื่นๆจำนวน 2,900 ล้านบาท
แหล่งข่าว OR ทุ่ม 2.69 หมื่นล้าน รุกขยาย PTT Station -ร้านอาหาร-ธุรกิจในตปท., bangkokbiznews, 29 มี.ค. 2565