นางพิมพ์ชนก พิตต์ฟิลด์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก (WTO) และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) เปิดเผยว่า แม้ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกผ่อนคลายการจำกัดทางการค้ามากขึ้น ทำให้ดับบลิวทีโอคาดว่าปีนี้การค้าโลกจะขยายตัว 10.8% และ 4.7% ในปี 65 แต่สำหรับสินค้าวัคซีนป้องกันโควิด วัตถุดิบ รวมถึงสินค้าที่เกี่ยวเนื่องนั้น หลายประเทศยังมีมาตรการจำกัดทางการค้าอยู่มาก โดยผลการศึกษาผลกระทบของโควิด-19 ต่อการค้าโลก ดับบลิวทีโอ พบว่าปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการขยายตัวของการค้าโลก คือ ปัญหาคอขวดที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโควิดที่หลายประเทศ รวมถึงไทยนำมาใช้ จนส่งผลให้การผลิตและกระจายวัคซีนหยุดชะงัก ส่งผลต่อเนื่องไปยังการค้าและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศต่างๆ ดังนั้น ทั่วโลกต้องทบทวนการใช้มาตรการต่างๆที่เป็นอุปสรรค เพื่อให้การค้าสินค้าและปัจจัยการผลิตที่วัคซีนโควิดลื่นไหล และร่วมกันส่งเสริมการฟื้นตัวของการค้าโลกในระยะต่อไป
“ปัญหาคอขวดดังกล่าวเกิดจากหลายประเทศยังมีมาตรการจำกัดการส่งออก รวมทั้งมีกระบวนการทางศุลกากรที่เป็นอุปสรรค เช่น บางประเทศไม่ยกเว้นการตรวจผ่านพิธีการทางศุลกากรวัตถุดิบผลิตวัคซีน หรือตัวอย่างวัคซีนที่ถูกส่งไปทดสอบในต่างประเทศ ต้องผ่านพิธีการทางศุลกากรเหมือนเป็นสินค้าทั่วไป การขึ้นทะเบียนยา การขออนุญาตจำหน่าย การตรวจปล่อย รวมทั้งขั้นตอนการขยายการผลิตใช้เวลายาวนาน เปลี่ยนแปลงบ่อย และไม่สอดคล้องกันกับปัญหาโลจิสติกส์ในการขนย้ายวัคซีนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ขาดเข็มฉีดยา และห้องเย็น”
นอกจากนี้ ผู้ผลิตวัคซีน 23 ประเทศรวมทั้งไทย จากผู้ผลิตทั้งหมด 27 ประเทศทั่วโลก ยังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่เป็นปัจจัยการผลิตวัคซีนโควิดในระดับสูงมาก โดยเฉพาะอิหร่าน ภาษีนำเข้าเฉลี่ยที่ 11.9%, คิวบา 10.3%, อาร์เจนตินา 9.6%, ส่วนไทย 6.4% สูงเป็นอันดับที่ 7 จาก 27 ประเทศ ถือว่าอยู่ในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญและไม่ควรเพิกเฉย โดยปัจจัยการผลิตวัคซีนโควิดที่ไทยมีอัตราภาษีนำเข้าสูง เช่น ถุงเครื่องปฏิกรณ์ชีวภาพ 8.4%, อุปกรณ์การผลิตวัคซีน 5.9%, สารวัตถุดิบสำหรับวัคซีน 6.6%, ซูโครสบริสุทธิ์ในรูปของแข็ง ซึ่งเป็นวัตถุดิบผลิตวัคซีน 94% เป็นรองเพียงอินเดียที่เก็บ 100%.
แหล่งข่าว WTO ชี้ภาษีแพงป่วนซื้อขายวัคซีนโควิด ส่งผลถึงการผลิต-กระจายวัคซีน, ไทยรัฐ, 20 ต.ค. 2564